TL;DR

ต่อจาก EP.1 เพราะ การเดินทางไปจีนครั้งนี้ เจออะไรๆให้เล่าเยอะมาก

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาวุ่นวายมาก กว่าจะกลับมาเขียนได้ สงสัยจะลางานยาวไป LOL

กลับมาต่อหลังจากเดินอย่างทรหดในวันที่ 1

ก่อนจะข้ามไปวันที่ 2 เรื่องที่อดเล่าไม่ได้ คือ โรงแรม Holiday Inn เป็นแค่โรงแรม 4 ดาว แต่เจ๋งสุดๆ แบบมีทุกอย่างที่ต้องการ รองเท้าใส่ในห้อง รองเท้าใช้แล้วทิ้ง แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ก้อน สบู่เหลว โลชั่น ซองชา กาแฟ กาต้มน้ำ เครื่องเป่าผม ฮีทเตอร์ ไม้แขวนเสื้อ หรือแม้กระทั้ง ถุงยาง

แต่ขาดอย่างเดียว คือ ปลั๊กสามขาแบบที่ฉันต้องการ ToT

ที่จีน ปลั๊ก 2 ขา จะใช้เป็นหัวกลม ส่วน 3 ขาจะเป็นหัวแบน เป็นอันว่าจบข่าว ชาร์ตแม๊คบุ๊คที่หิ้วมาไม่ได้ ถ้าใครจะมาอีกต้องเช็คให้ดีๆ

มาเริ่มวันที่ 2 กับ พระราชวังฤดูร้อน แต่ ดันไปช่วงปลายฤดูหนาว เอ๋ ยังไง?

ตามชื่อนั้นแหละ พระราชวังนี้เป็นพระราชวังสำหรับตากอากาศในช่วงฤดูร้อน พื้นที่เยอะสัสๆ แต่เป็นพื้นที่ทะเลสาบไปแล้ว 75% เหลือพระราชวังกระจ๋อยนึง #แต่ก็กว้างอยู่ดี นอกจากเป็นพระราชวังพักร้อนแล้ว ตามประวัติศาสตร์ ก็บอกว่า ที่นี้เป็นที่ประทับของซูสีไทเฮาด้วย

นอกจากประวัติศาสตร์แล้ว ที่นี้มีระเบียงทางเดินรอบทะเลสาบที่สวยและยาวที่สุดในโลกด้วย เดินไปก็ลมพัดไป ~

อันนี้เป็นวิวยอดนิยมของที่นี้

//ที่เห็นยิ้มๆแบบนี้ ใส่เสื้อ 4 ชั้นนะฮะ ขนาดใส่ขนาดนี้ก็ยังหนาว พี่ไกค์บอกว่า ถ้าเป็นช่วงหนาวจัดๆ ที่ทะเลสาบด้านหลังจะเป็นน้ำแข็งเลย แต่แค่นี้ก็ทรมาณละ ยอม

บรรยากาศภายในพระราชวัง จะมีต้นไม้เยอะๆ ร่มรื่นมาก ต้นไม้ส่วนใหญ่มีอายุ 100+ บางต้นอายุ 500+ ก็มีเหมือนกัน พี่ไกค์บอกว่า ทางการจีนดูแลต้นไม้พวกนี้อย่างดี มีจ้างเอกชนมาดูแลด้วย บางต้นต้องทำแก้วมาครอบในช่วงฤดูหนาวเพื่อไม่ให้มันหนาวตาย Orz

จุดพีคในช่วงเดินดูพระราชวังนี้ ก็คือ พ่อกรูหายตัวไปจ้าาาาา~

เกือบจะกลับบ้านไม่ครบ 4 คนซะแล้ว ตามหากันให้วุ่นวาย ยังดีที่มีพี่ไกค์มืออาชีพ รับมือสถาณการณ์ได้ ไม่ปล่อยแต่ละคนวุ่นวาย รวมกลุ่มๆ ความจริง คือ หาจนท้อ ปลง แล้วกำลังเดินกลับไปนั่งที่รถ ก็เลยเจอ รออยู่ที่ประตูทางออก เพราะพี่ไกค์บอกว่า จะกลับทางเดิม พ่อก็เลยมารอตรงนี้ เล่นเอาทุกคนตกใจกันไปหมด

หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่ วัดลามะยงเหอกง

แน่นอนว่า ภายในวัดก็ต้องมีพระพุทธรูป (เจอพระพุทธรูปจากวัดธรรมกายด้วย omg ) แต่ที่เด็ด คือ พระประธานองค์ด้านในสุด เป็น พระพุทธรูปไม้สูง 23 m ที่เกาะสลักจากไม้จันทร์ต้นเดียว! ย้ำ ทั้งองค์แกะจากไม้เพียงต้นเดียว //ไปเอาไม้ใหญ่ขนาดนี้มาจากไหนห๊ะ เป็นพระพุทธรูปที่เปี่ยมด้วยศรัทธาจริงๆ

ต่อไปก็ ไปเยี่ยมสนามกีฬารังนกยักษ์ สร้างต้อนรับโอลิมปิก2008 ที่ฮา คือ พอไปถึงที่สนามกีฬา ย่าสะกิดๆแล้วทักว่า ไหนอะๆ ไม่เห็นมีนกสักตัว แล้วมันจะทำรังด้วยอะไรหนิ ไม่เห็นมีกิ่งไม้อะไรเลย #โอ๊ยยยยยย ฉันฮามาก

ก็เลยต้องลงโทษด้วยการถ่ายรูปกับสนามกีฬาซะหน่อย โทษฐานที่ทำให้คนแก่เข้าใจผิด 555

สุดท้ายของวันนี้ ก็คือ ปาร์ตี้เป็ดปักกิ่ง มื้อที่รอมานาน

แอบเสียใจนิดนึง ที่มันมาเป็นชิ้นๆ ดูไม่อลังการเลย แต่กินกันด้วยความเร็วแสงมาก ถือเป็นมื้อที่กินกันเร็วที่สุดตั้งแต่ที่มาจีน อร่อยสัส!

มาถึงวันที่ 3 เดินทางไปกำแพงเมืองจีน

แต่ก่อนที่จะไปปีนกำแพงเมืองจีน ทัวร์ก็พาแวะขายของนิสนึง คือ ทัวร์ที่มาจีนทุกทัวร์ จะโดนกำหนดให้พาลูกทัวร์ไปซื้อของ 6 อย่าง คือ บัวหิมะ, หยก, ชา, นวดฝ่าเท้า, ไข่มุก และ ผ้าไหม แถมกำหนดด้วยนะว่า จะต้องอยู่อย่างน้อย 45 นาที เพื่อเป็นการลดราคาทัวร์ ซึ่งโคตรจะเสียเวลา แต่ก็ต้องจำยอม ของแต่ละอย่างก็กระจายไปในแต่ละวันๆ ความเจ๋งคือเมื่อเข้าไปในร้าน จะมีคนขายมาบรรยายสรรพคุณให้ฟัง ซึ่งทุกคนพูดไทยได้ชัดมาก ก๊อด! แต่ก็ไม่บังคับซื้อ แต่ถ้าไม่มีใครซื้อ ก็จะไม่ให้ออกไป (มั่วๆๆ แต่ไม่แน่เหมือนกัน)

ความพีคอย่างแรก คือ เทคนิคการขาย นอกจากจะพูดไทยได้แล้ว ยังมีศัพย์เกร๋ๆ อย่าง “โปรแรงๆ”, “คนไทยทุกคนก็เหมือนพี่น้องกับผม ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร พี่น้องกันๆ”, “เพิ่มอีก 100 เดียว เอาไปเลยอีก 2 ชุด” โอ๊ยยย คือ แค่ซื้อแล้วใช่ว่าจะหลุดพ้นจากการขายเหล่านี้ “พี่ๆไม่ซื้ออีกเหรอ หนูให้โปรสำหรับพี่เฉพาะเลยนะ อีก 100 เดียวเอง” #เอากระเป๋าตังค์กูไปเลยเหอะ

ความพีคอีกอย่าง คือ ราคา “โปรแรงๆวันนี้ หนูให้เลยซื้อ 3 ชิ้น แถมอีก 3 ชิ้น ในราคาแค่ 10,000 yuan (50,000 บาท) เอง” คือ กูอยากจะสะกิดเมิงว่า ที่กูมาทัวร์เนี๊ยะ กูจ่ายแค่คนละ 20,000 บาท เองนะ กูไปแล้วมาอีกรอบยังถูกกว่าราคาโปรของเมิงอีกนะ พกเงินมาเป็นแสนถึงจะพอจ่ายซื้อของของพวกเอ็ง

เอาเป็นว่า เราจะไม่พูดถึงมันละกัน~

ในที่สุดก็ถึง เป้าหมายที่สำคัญที่สุดในทริปนี้ เดินกำแพงเมืองจีน กำแพงที่ยาวที่สุดที่มนุษย์สร้าง [6000+ km]

คือภาพที่เห็นมันทั้งสูง ทั้งใหญ่ ทั้งยาว แฮ่ๆๆๆ #ผิด

แต่เพราะว่ากำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่ใช้เวลาสร้างนานมาก แต่ละยุค แต่ละพื้นที่ก็จะใช้วัสดุต่างกัน กำแพงในหลายๆพื้นที่ก็เก่าจนพังไปแล้วบ้าง บ้างก็โดนชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เอาอิฐไปทำบ้านแล้วบ้าง #เอ็งเอาอิฐที่เป็นสมบัติของชาติไปสร้างบ้าน #โหดเหี้ยมมาก ส่วนที่เราเที่ยวกันเยอะๆ มักจะเป็นส่วนที่ถูกสร้างในช่วงหมิง เพราะสร้างจากก้อนหิน คงทน แต่ยังไงๆ ส่วนใหญ่ก็โดนทางการจีนบูรณะไปแล้ว บูรณะซะ ยังกะของใหม่ ไม่ขลังเท่าไร เสียใจ

ถ้ามีโอกาส อยากไปช่วงที่เป็นกำแพงเก่า ไม่ได้บูรณะดูบ้าง คงได้ฟีลที่เจ๋งไปอีกแบบ

แต่ยังไงๆ แค่ได้เห็นแบบนี้ก็เจ๋งแล้ว นอกจากยาวสุดๆแล้ว อีกความโหดของกำแพงเมืองจีน ก็คือ มันสร้างบนสันเขาสูง การจะเดินไปแต่ละป้อม ต้องขึ้นบรรได โคตรเหนื่อย ย้ำ โคตรเหนื่อย คือ เดินถึงป้อมที่ 2 ก็รู้ตัวเองเลยว่า ต้องหาเวลาออกกำลังกายแล้วนะ

แต่บรรยากาศบนกำแพง เจ๋งมาก คุ้มค่า แต่ไม่มีปัญหาถ่ายรูป ให้ดูอลัง #มาถ่ายให้กรูที

สิ่งที่กูคาดการว่าจะถ่าย

//หามาจากเน็ต แนบลิงค์ link

สิ่งที่กูถ่ายได้

โอ๊ยยยยยย ปลง ฝึกกันต่อไป

ภารกิจต่อไป คือ SNOW WORLD ลานเล่นสกี แต่ ช่วงที่ไป อากาศไม่หนาว(5 C เมิงบอกว่าไม่หนาว) ทำให้น้ำแข็งละลาย คงสภาพยาก ก็เลยได้แต่มอง กับลานสกีชุ่มน้ำ

เพราะเวลาเหลือ สุดท้ายของวันที่ 3 ไกค์ก็เลยเพิ่มรายการพิเศษให้ พาไปช้อปปิ่งย่าน THE PLACE ห้างที่มีจอ LCD ขนาดยักษ์ 6,000 ตารางเมตร ดูภาพประกอบเอาเองละกัน

แต่จริงๆแล้วก็ แค่ห้าง ไม่ต่างกับพารากอนซักเท่าไร แค่พารากอน ก็ยังไม่เคยเดินทั่วเลย แล้วปิดท้ายของวันด้วย บุพเฟ่นานาชาติ โกลเด้นจากัวร์ โดยส่วนตัวไม่ชอบเท่าไร เพราะไม่ชอบสไตย์อาหารจีน เก็บไปกินโออิชิแกรนด์ยังอร่อยกว่าอีก

กำแพงเมืองจีนวันนี้ทำเอาเหนื่อยมาก ถึงมากที่สุด (+เมาไวน์ จากโกลเด้นจากัวร์) กลับที่พัก นอนเลยจ้า

วันที่ 4 วันสุดท้ายในปักกิ่ง

ทริปนี้โชคดีมากๆ เพราะ ปักกิ่งต้อนรับวันสุดท้าย ด้วยหิมะปรอยๆมานิดๆ (ช่วงตอนกลางคืน) ทำเอาตอนเช้ามีซากหิมะเหลืออยู่ เหล่าสมาชิกทัวร์แต่ก็คนก็เลยดีใจกันมาก ถ่ายรูปกันรัวๆ

แต่ภารกิจของวันนี้ คือ การช๊อปปิ้ง ที่ที่ไปคือ Silk Market (คนไทยเรียกว่า ตลาดรัชเซีย) แหล่งขายของก๊อปเกรด A ซึ่งก็ไม่ต่างกับประตูน้ำแถวบ้านเรา แต่ความโฉดของที่นี้คือ ราคา

ในบริเวณตึก ถ้าสังเกตดีๆ จะมีป้าย “Price as mark, No bargain please” ราคาตามป้าย กรุณาอย่าต่อราคา

ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร เพราะ เอ็งตั้งราคาเริ่มต้นของที่นี้ แพงมาก รองเท้าก๊อปยี่ห้อง adidass ราคา 5,000 บาท #เมิงลืมไปรึปล่าวว่าเมิงเป็นของก๊อป แต่สามารถต่อรองราคาให้เหลือแค่ 1,000-2,000 บาท ได้ แล้วแต่ความชำนาญในการต่อรอง #ฝึกสกิลต่อรองราคาแบบเร่งรัด โอ๊ยยย เป็นการเดินตลาดที่กูต้องซื้อไปแสดงละครไป ถ้าแสดงตัวว่าอยากได้มาก มันก็ไม่ยอมลดราคาให้ ถ้าถูกๆผ้ามันบ่อยๆ มันก็จะตีมือแล้วให้เมิงเสนอราคา “Hey, What price?”

แต่ถ้าใครกลัวว่า พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง ไม่ต้องกลัว ที่นี้เราสื่อสารกันด้วยเครื่องคิดเลข #อัจฉริยะสัส

ก่อนกลับ ก็มากินสุกี้มองโกล เป็นมื้อสุดท้ายของทริปนี้

//สุกี้หม้อนี้ เค้าเสริฟน้ำจิ้มเป็นซอสดำๆ รสเหมือนแม๊กกี้ โอ๊ยยย มันเข้ากันยังไง? แต่โชคดีที่พี่ไกค์เอาน้ำจิ้มสุกี้มาเผื่อแล้ว อิ่มกันเป็นมื้อสุดท้าย

หลักจากนั้นก็ขึ้นรถมุ่งหน้าไปที่สนามบิน ในที่สุดก็ต้องจากลา บ๊ายบายปักกิ่ง

ขอบคุณคุณหมิว(เอเจนต์ทัวร์)ที่ติดต่อประสานงาน

ขอบคุณคุณไกค์ทั้ง 2 คน(คุณมิ้งค์+มิ้นค์)ที่ดูแลความสะดวกตลอดทริป

ขอบคุณผู้ร่วมชะตากรรมไปด้วยกันในทริป ย่าชอบพูดบ่อยๆว่า “มันก็แปลกดีนะ ที่คนจากแต่ละส่วนของประเทศมาพบกันแล้วไปเที่ยวร่วมกันได้”

ขอบคุณประเทศจีนที่มีอะไรดีๆให้ไปเที่ยว

และก็ขอบคุณครอบครัวทุกๆคนที่สร้างให้ #me เป็น #me อย่างทุกวันนี้

เย้ๆ ผ่านไปอีกหนึ่งทริป หวังว่าจะมีครั้งต่อๆไปอีก~

ปล.

เรื่องแรก คือ ตม.จีน ตรวจเข้มมาก เตือนว่า Power Bank สามารถพกได้คนละไม่เกิน 1 ชิ้น และเรื่องอาหารต่างๆ ถ้าไม่จำเป็นอย่าพยายามหิ้วขึ้นเครื่อง เดี๋ยวโดนริบ

อีกเรื่องที่ใครๆก็คงอยากจะถาม คือ ห้องน้ำ

ตั้งแต่ที่เที่ยวมา ก็ไม่ได้แย่ซักเท่าไร พี่ไกค์บอกว่า ที่นี้พัฒนาห้องน้ำให้เป็นสากลแล้ว โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ในส่วนที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย อาจจะเจอสภาพแปลกๆบ้าง ยังไงๆ อยู่ไปนานๆ ก็คงชิน คนจีนส่วนใหญ่ไม่แคร์เรื่องสภาพโป๊ๆ สักเท่าไร โดยเฉพาะตอนเข้าห้องน้ำ คนจีนส่วนใหญ่ยังติดนิสัยไม่ยอมล๊อคห้องน้ำ ห้องน้ำก็เลยต้องเปิดช่องไว้ ให้คนอื่นรู้ว่า ข้างในมีคนอยู่ ง่ายดี #แต่สำหรับฉันมันไม่ง่ายแบบนั้นซิ

บางที่ติดป้ายห้องน้ำติดดาวด้วยนะ

แต่ถึงจะไม่ได้สกปรกมาก แต่ห้องน้ำที่จีน ยังเหม็น พี่ไกค์บอกว่า ก็คนมันเยอะ ทำความสะอาดไม่ทัน เรื่องนี้ก็ทนๆกันไป