## TL;DR ถ้าจะให้เลือกคำหนึ่งคำอธิบายว่า ปี 2022 ที่ผ่านมา เป็นอย่างไร คำที่ดีที่สุดคงเป็นคำว่า `burn out` ละมั้ง เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากเดินต่อไปอีกแล้ว ทุกอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันแต่หมดพลังที่จะสู้กับเรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้น ถามตัวเองซ้ำๆว่า ยอมแพ้ไปเลยได้ไหม แต่ยังต้องหายใจ ยังต้องทำงาน ยังต้องเขียนธีสิท คงต้องสู้กันต่อไปแหละนะ

#What happended in 2022

2022 ก็เป็นเหมือนทุกๆปีที่ผ่านๆมา มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้น มีทั้งสุข ทั้งทุกข์

แต่ถ้าจะให้เลือกคำหนึ่งคำอธิบายว่า ปี 2022 ที่ผ่านมา คำที่ดีที่สุดคงเป็นคำว่า burn out ละมั้ง

ไอ้คำว่า burn out เนี๊ยะ ไม่ใช่แปลว่า ขี้เกียจนะ แต่เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากเดินต่อไปอีกแล้ว เป็นอารมณ์ที่ทุกอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันแต่หมดพลังที่จะสู้กับเรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้น แต่ยังต้องหายใจ ยังต้องทำงาน ยังต้องเขียนธีสิท ถามตัวเองซ้ำๆว่า ยอมแพ้ไปเลยได้ไหม ??? 😟😟

ได้แต่หวังว่าปีหน้า จะมีอะไรมาช่วยจุดไฟในชีวิตเราขึ้นมาอีกครั้งนึง ฮึบ ฮึบ ฮึบ

Being an Art Enthusiast

ไม่แน่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขั้น แต่ปีนี้เป็นปีที่เอาเวลาไปสนใจเรื่องศิลปะแบบต่างๆเยอะมาก ส่วนนึงคงเพราะว่าที่ UK มีงานแสดงศิลปะต่างๆเยอะแยะเต็มไปหมดด้วยแหละมั้ง เริ่มจากงานวาด งานปั้น งานแกะสลัก จากทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ Classical อย่างงานของ Leonardo da Vinci, Raphael, Michelangelo ไป Impressionism ของ Claude Monet จนถึงงาน Street art ของ Banksy //นี่ถึงกับปักหมุกทั้วเมืองเดินตามดูภาพเพนท์ของ Banksy ตามฝาผนังที่เหลืออยู่ตามจุดต่างๆในลอนดอนเลยนะ

พอเสพไปเรื่อยๆก็ลามไปถึงละครเวที ปีนี้ไปดูมา 3 เรื่อง: Lion King, Cats the musical และ Les Misérables +แผนจะไปดูอีกหลายเรื่อง หลังๆก็เริ่ม enjoy กับการไปฟัง Classical music ล่าสุดได้ไปฟังออเคสตร้า Ninth Symphony ของ Ludwig van Beethoven ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนงดงาม

เอาจริงๆ ก็ไม่ได้อินไปกับทุกงานนะ ต้องบอกว่า ไม่ได้อินเป็นส่วนใหญ่มากกว่า Hahaha เสพเพราะแค่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง แต่พอเสพไปสักพักก็พึ่งมาเข้าใจว่า เสพศิลป์ บางทีมันไม่ใช่แค่เสพสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือการเสพเรื่องราวที่มาของงาน บางทีมันรวมไปถึงเรื่องราวประสบการณ์ส่วนตัวของคนดูด้วย

งานนึงที่ตัวเองชอบมากๆ เป็น Installation art ที่จัดที่ Tate museum เป็นงานที่ชื่อว่า Babel 2001 โดย Cildo Meireles ซึ่งเป็นงานที่เอาวิทยุหลายร้อยอันมาจัดวางเป็นหอคอย โดยวิทยุแต่ละเครื่องก็จะเปิดรับสัญญาณแตกต่างกัน สำหรับบางคนที่ไม่เคยได้ยินตำนาน Tower of Babel หรือคนที่ไม่อินเกี่ยวกับภาษาหรือเทคโนโลยี งานชิ้นนี้ก็เป็นแค่งานแสดงที่ส่งเสียงดังน่ารำคาญ แต่สำหรับเรา มันมีความเท่ห์ทั้งในแง่ที่ว่า เราสามารถเข้ามาฟังกี่ครั้งๆก็จะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน เพราะเสียงจากวิทยุเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และในเวลาเดียวกันก็มีความเท่ห์ทั้งในการใช้เสียงมั่วๆนี้ตัวแทนของบทลงโทษจากพระเจ้าที่เกิดขึ้นหลังจากตำนาน tower of babel แต่ตีความใหม่ ในแง่ของปัญหา information overload ที่ทันสมัยถึงทุกวันนี้

นี่เลยคิดว่า มันคือ representation ของ Babel ที่ใหม่มากๆ //ที่เขียนไปนี้เป็นการตีความของตัวเองนะ อย่าเชื่อมาก 5555555

Being a Traveller

ทำไปทำมาปีนี้ หนีเที่ยวเยอะสุดๆ มีโซโลบ้าง มีไปกับเพื่อนๆบ้าง

เริ่มต้นช่วงต้นปีด้วยการเดินทางทริป Hiking ที่ Lake District เพื่อนๆจองที่พักได้ในราคาย่อมเยา แต่พร้อมไปด้วยวิวริมทะเลสาบ ละมุนใจ

ด้วยความที่เพื่อนๆเป็น hiking lover มาก ทริปนี้เลยมีแผนเดินขึ้นเขาทุกวัน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย Hahahah 🤣 เป็นทริปที่เฮฮาเหมือนต้มกัญชากันมา งงเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ลักลอบปีนประตูรั่วไปพื้นที่ของใครไม่รู้, ได้เจอฝูงแกะหลายสิบตัวเดินตามไปมาๆ, ได้ปีนยอดเขาที่ลมแรงมากๆแบบที่พร้อมที่จะพาทุกคนปลิ้วไปได้ตลอดเวลา(ต้องรอช่วงที่ลมเบาๆแล้วเกาะหินพาตัวเองลงมาจากตรงนั้น), ได้เดินออกนอกเส้นทางจนเกือบจะตกเขา, ได้วิ่งหน้าตั้งลงเขาเพื่อไปรอรถไฟที่เกือบจะไปไม่ทัน

รวมๆเป็นการฮีลใจตัวเองได้ดีเลยทีเดียว อยากมาใช้ชีวิตเรียบเฉยที่นี้สักหลายๆเดือน

หลังจากนั้นก็มีเดินทางไปโซโล 2 ทริป ใกล้ๆกัน เริ่มจากไป ฝรั่งเศษ-เยอรมัน ได้เข้า Casino ครั้งแรก ได้เล่น slot machine + roulette (แน่นอนว่า แพงหมดตัว), ได้กินขาหมูเยอรมันซึ่งเค็มมาก กลับมารักษาโรคไต (แต่ขาหมูที่สเปนเด็ดมาก แต่ไปคนละทริปกัน), ได้กินครัวซ็องรัวๆแบบจะไม่กินไปอีกหลายเดือน แต่ไปๆมาๆ ทริปทรหดมาก มีการผิดแผนเยอะมาก จองโรงแรมไม่ครบบ้าง รถไฟขัดข้อง เครื่องบินดีเลย์ บัตรเดบิตรูดไม่ได้เพราะนี่จำรหัสไม่ได้ มือถือแบตหมดตอนที่อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ในมิวนิค ถามตัวเองว่า การไปเที่ยวจะต้องลำบากขนาดนี้ไหม? แต่จะโทษใครก็ไม่ได้ ดูเหมือนความลำบากทั้งหลายเกิดจากความมึนๆของตัวเองทั้งนั้น (แต่ไม่ทั้งหมดนะ) โดยรวมๆ ถึงจะโป๊ะๆไปบ้าง แต่ก็เป็นการเดินทางที่คุ้มค่าและน่าจดจำ //มีบล๊อคด้วยนะ [บันทึกเดินทาง ลากกระเป๋าโซโล Munich ถึง Marseille]

อีกทริปเป็นเส้นทางที่อยากไปมานานมากๆแล้ว เพราะเป็น 1 ใน 2 เส้นทางที่ได้รับรองจาก UNESCO ให้เป็น World Heritage หรือ มรดกโลก มันคือเส้นทางการแสดงบุญ Camino de Santiago เป็นเส้นทางการเดินจากมุมเมืองต่างๆเพื่อไปสักการะโบสถ์ของเซนต์แจมส์ ระยะทางเต็มๆบางเส้นปาไป 3000 km เลย เดินกันเป็นเดือนๆ

ทั้งหมดทั้งมวล คือ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนี่เลย เพราะนี่ไม่ใช้คาทอลิก แต่นี่ก็ไปเดินร่วมกับเขา เอาจริงๆ หลายๆคนที่เดินเจอกัน ก็ไม่ได้เดินด้วยเหตุผลทางศาสนานะ บางคนเดินทางเพื่ิอเป็นค้นหาตัวเอง บางคนเดินทางเพราะต้องการลืมเรื่องราวบางอย่าง บางคนเดินทางเพื่อพัฒนาตัวเอง บางคนต้องการให้การเดินทางครั้งนี้เป็นหมุดหมายของจุดเปลี่ยนสำคัญบางอย่างในชีวิต หลังจากได้คุยได้ฟังเรื่องราวหลายๆอย่างจากคนแปลกหน้าที่เดินไปพร้อมกัน รู้สึกเหมือนกับได้เติบโดทางความคิดบางอย่าง //อยากที่จะเขียนบันทึกการเดินทางครั้งนี้มาก จะพยายามหาเวลาเขียนให้ได้

หลังจากนั้น ช่วงกลางๆปีก็เดินทางกลับไทย มาเติมพลังงานทางใจ ไปลงเรียนดำน้ำ ที่เกาะเต่ากับสถาบัน Ban’s Diving Resort

จริงๆแล้ว เรียนดำน้ำ เป็นหนึ่งใน todos ที่อยู่ใน bucket list มานานแสนนาน ในที่สุดก็สำเร็จอีกหนึ่ง เรียน 3 วัน 2 คืน อินมาก ชอบทะเล ชอบใต้น้ำ ชอบปลา (รวมไปถึงชอบแดร๊กปลาด้วย) เป็นทริปที่ดีต่อใจมากๆ

แต่ใดๆ กว่าจะกลับถึงภูเก็ตได้ มีความพีคมากมายระหว่างทริป จองที่พักผิดวัน ท้องเสียรัวๆ ผิดแผนนู้นนี้รัวๆ ปีนี้เป็นอะไรวะ เหมือนพระเจ้าพยายามกระซิบว่า เมิงเที่ยวเยอะเกินไปแล้ว เล่าให้ใครๆฟังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมิงจะรอดถึงภูเก็ตปะวะเนี๊ยะ !@£$%^&

สุดท้ายปลายปี ก็ต้องกลับมา UK ฮือออ ไม่อยากกลับเลย แต่ก็ต้องกลับมาไง ตอนแรกก็กังวลอยู่ว่า ปลายปีนี้จะรอดได้ไปยังไง อากาศหนาวๆ หม่นๆ ยิ่งทำให้เหงาเข้าไปอีก ดีใจที่มีเพื่อนชวนไปปาร์ตี้ที่ Loughborough ตอนแรกก็มีแผน hiking รัวๆ เพราะไปกับเพื่อนกลุ่มเดิม เพิ่มเติมคือรอบนี้มีน้องหมาด้วย แต่น่าเสียดายที่ช่วงนั้นมี Strike กันรัวๆ ทั้ง Train, Bus, Post office รวมไปถึงอาจารย์มหาลัยด้วย แผนการ hiking ก็เลยต้องพับไปก่อน

ทริปนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้ dog walking ปกติแล้วนี่ไม่ได้ชอบหมาไง (ไม่ได้เกลียดนะเออ แต่แค่ขอชอบแบบห่างๆได้ไหม 😂) ขอขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคน รวมไปถึงเจ้าบ้านด้วยที่ต้อนรับอย่างดีตลอดหลายวัน กราบ กราบ กราบบบบบบ

Life as a Worker Bee

การงานในปีนี้ก็ยังคงมีทั้งงานราษฎร์ และ งานหลวง จัดกันมาแบบเต็มๆ

ปีนี้ยังคงรับทำงาน Freelance เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ปีนี้ได้(กึ่งๆ)ทำหน้าที่เป็น Project Manager ด้วยงานนึง จริงๆ เป็นรวมๆระหว่าง Project Manager, Project Coordinator แล้วก็ Software Architect ได้พัฒนาตัวเองไปเป็น “Developer เอกการแสดง” เพราะมีประชุมเยอะมาก ต้องมีพรีเซ้นงาน แสร้งยิ้มเก่งขึ้นมาก แถมได้สกิลการเจรจาและตอแหล แต่ใดๆ ปีนี้ก็ดันๆจนจบโปรเจคนึงลงได้ในที่สุด ขอบคุณน้องๆทุกคนในทีมมา ณ ที่นี้ด้วย ฮะ

สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนของตัวเอง นั้นซินะ ตอนนี้ถึงไหนละนะ?? ท้อกับการเรียนเบาๆ ปีที่ผ่านมาได้ตีพิมพ์ 1 เปเปอร์ (ไม่กล้าอวดเท่าไร เพราะมันเป็นแค่เปเปอร์ง่อยๆ ในงานประชุมวิชาการระดับกลางๆ) แต่ที่น่าอวด คือ @castby9arm มา quote tweet ของนี่ด้วย

ตื่นเต้นมว๊าาาาากกกก

เอาจริงๆ ตอนนี้สอบผ่าน Stage 2 แล้ว Official 3rd year PhD แปลว่า การเดินทางของปริญญาเอกนี้จะเหลือเวลาอีกแค่ 1-2 ปีแล้วนะ แต่ยังดีที่เห็นแนวทางของตัวเองชัดเจนมากขึ้นแล้ว รู้แล้วว่าต่อไปจากนี้ต้องทำอะไรต่อไป แต่มันจะทำได้รึปล่าว มันคืออีกเรื่องนึงนะ!!

แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็ยังติดอยู่ที่ Data Collection ต้องเก็บข้อมูลรัวๆ จะเก็บข้อมูลทีก็ต้องเขียนเอกสารทางจริยธรรม (Ethics) แถมต้องวุ่นวายกับการหาทุนอีก เพราะการเก็บข้อมูลมันต้องมีค่าใช้จ่าย วนๆอยู่กับการเขียนเอกสาร เวลาผ่านไปครึ่งปี ไม่ได้แตะโค้ดสักบรรทัดเดียว OMG

แต่หลังๆ เริ่มเครียดน้อยลง ไม่ใช่เพราะว่างานจะเสร็จแล้วนะ แต่เพราะเริ่มปลงได้ว่า ถ้าเราเรียนไม่จบก็สามารถช่างแม่งได้ ไม่กล้าที่จะบอกใครว่า จะจบเมื่อไร เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะจบรึปล่าว พยายามบอกที่บ้านตลอดว่า อย่าไปโม้กับคนอื่นมาก เตรียมใจไว้บ้างว่า นี่อาจจะเรียนไม่จบเอกก็ได้

แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่างานของตัวเอง คือ พัฒนาการของวงการ AI ปีที่ผ่านมา มีโมเดลเทพๆโพล่กันมาตูมๆตามๆ Milestone ที่สำคัญ คงหนีไม่พ้น ChatGPT และ DALLE (& Midjourney) การที่ได้เห็นพัฒนาการของโมเดลเหล่านี้ในช่วงเวลาที่เรียนอยู่ บางทีก็รู้สึกกดดันเบาๆ เพราะ เราไม่มีปัญญาเทรนโมเดลระดับนี้ได้ เพราะขาดทั้ง resource และ knowledge แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีความตื่นเต้นที่ได้เห็นความเป็นไปได้มากมายที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้จากงานเหล่านี้

Life as a Chef

ปีนี้เมิงเอ๊ยยยยยย จริงจังกับการทำอาหารมาก จริงจังกว่าเรื่องเรียนอีก เลิกเรียนแล้วไปเปิดร้านข้าวแกงแทนได้ไหมนะ???

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ภาพส่วนหนึ่งของเมนูที่ทำนะ มีตั้งแต่ไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป และรวมไปถึงเมนูที่มั่วๆขึ้นมาอีกเยอะแยะ พยายามลองกินผัก ผลไม้ เห็ด ปลา วัตถุดิบแปลกๆใดๆที่หาไม่ได้ที่ไทย โดยเฉพาะเห็ดหายากๆที่มีแค่ตามฤดูกาล เช่นๆ Morel, Porcini, Termite mushroom (เห็ดโคน อันนี้ทำกินที่ไทย)

แต่ที่พีค คือ เกือบได้ไปนอน รพ เพราะเข้าใจว่าบอนคันที่ขายที่ร้านอินเดียแถวบ้าน คือ โชนกินได้ เลยเอามาแกงส้ม ยังดีที่พอรู้ตัวอยู่บ้าง ชิมไปแค่คำเล็กๆคำเดียว รู้เรื่อง คันไปทั้งคอ คันจนเพื่อนแนะนำให้ไป รพ. //แต่ก็รอดมาได้ เย้

Life as a Londoner

ไปๆมาๆ รวมๆแล้วปีนี้ก็เกือบจะครบปีแล้วนะที่ย้ายมาอยู่ที่ลอนดอน แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยชอบลอนดอนเลย 😖😖

ลอนดอนเป็นเมืองที่ทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ตลอดเวลา เหนื่อยจัง แต่ก็ชดเชยกับความดีงามในความสะดวกสบายในการเดินทาง(แต่เน็ตห่วยสุดๆ) มีอาหารจากทั่วทุกมุมโลกให้ได้ลอง(แต่แพง ชห) เอาจริงๆ เป็นเมืองที่ไม่แย่แต่มันคงไม่เหมาะกับเรา

ใดๆ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา นี่ได้มีโอกาสลองนู้นนี้หลายๆอย่าง

  • ได้ไปดู Trooping the colour การซ้อมเดินขบวนฉลองวันเกิด Queen Elizabeth II
  • ไปตะเวนชิมอาหารสัญชาติต่างๆ ทั้งจากอินเดียใต้ ศรีลังกา สเปน อาหารจากโซนแอฟริกา อเมริกาใต้ ไปจนถึงตะวันออกกลาง

ที่น่าตกใจ คือ ตัวเองพึ่งตระหนักได้ว่า นี่แทบจะไม่เคยกินอาหารพื้นเมืองของประเทศเพื่อนบ้านเราเลย เช่น พม่า ลาว(ที่ไม่ใช้ส้มตำ) กัมพูชา เวียดนาม(มีบ้าง) ทั้งที่ิอยู่ใกล้กันมากๆ คิดว่าปีหน้า นี่จะพยายาม expose ตัวเองกับอาหารเพื่อนบ้านมากขึ้น

  • ได้ทะเลาะกับ scam call ครั้งแรกในต่างประเทศ และเสียใจที่ด่ากลับมันไม่ทัน

  • ได้ไปเดินทุ่ง Lavender มันสวยมาก เป็นดอกหญ้าสีฟ้าๆมั่วๆ ตัดกันดีกับท้องฟ้าสีคราม แต่เสียดายนิสนึงที่ลาเวนเดอร์ไม่ได้มีกลิ่นฟุ่งๆอย่างที่จิตนาการไว้ แต่ก็ดีใจที่ได้มา

  • ได้ทำตัวอินดี้ๆ ที่ Seven Sister Cliff
  • ได้เห็นทั้งซากุระและหิมะในลอนดอน

และเรื่องที่ดีที่สุดของการเป็น londoner ในปีนี้ คือ

  • นี่ย้ายหอใหม่ละจร้าาาาาาา ห้องใหม่ดีมาก ใหญ่มาก เป็นบ้านแชร์กัน 6 คน ยังไม่แน่ใจว่า housemate จะเป็นยังไงบ้าง เพราะพึ่งย้ายมาได้แค่ไม่ 2 เดือนเอง แต่ที่สำคัญ คือ มีแมวด้วย!!!!! ละมุนใจที่สุด

ข้อเสียอย่างเดียว คือ บ้านใหม่ไม่สามารถควบคุมฮีทเตอร์ได้ด้วยตัวเอง จะมีระบบกลางคอยปรับอุณหภูมิของทั้งบ้าน ประหยัดไฟเพราะปัญหาค่าไฟแพงสืบเนื่องจากสงครามรัสเซียกับยูเครน หนาว ชห

PS. สิ่งที่เสียดายที่สุดในปีนี้ คือ นี่ไม่ได้ไปร่วมงานศพ Queen Elizabeth II เพราะนางสิ้นตอนที่อยู่ไทย คลาดกันแค่เดือนเดียวเอง!!!

Being a Person

ปีนี้เป็นปีที่ตัวเองมีปัญหากับใจตัวเองมากที่สุดเลยก็ว่าได้ งงกับภาพในอนาคตของตัวเอง งงกับความรู้สึก งงกับความคิด แต่ละวันผ่านไป ไม่แน่ใจว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ เกลียดความรู้สึก lonely in a crowd บางคนอาจจะไม่เข้าใจเพราะว่าแต่ละวันที่ผ่านไป เรายังยิ้มได้ แต่ลึกๆในใจมันว่างเปล่ามาก ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่า เราเกิดมาทำไมนะ? เหนื่อยจัง

มีอยู่วันนึงพบว่าแผนหลายๆอย่างที่เตรียมไว้มันไม่เป็นไปตามที่ตัวเองคิด แล้วไม่สามารถจัดการกับความคิดที่อยู่ในใจของตัวเองได้เลย รู้ตัวอีกทีก็กำลังเดินร้องไห้อยู่ข้างถนน และก็เป็นเวลาเดียวกันที่นี่พบว่า ตัวเองจะอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เราต้องการความช่วยเหลือ แล้วก็ตัดสินใจเดินทางกลับไทย

เป็นเหตุให้ช่วงกลางๆปี พาตัวเองไปโผล่ที่ไทย ใช้เวลาอยู่กับที่บ้าน อยู่กับ แม่ พ่อ ย่า น้อง และเหล่าแมวๆ พานางๆไปวัด ไปกินเลี้ยงในวาระต่างๆที่จะชอบยกขึ้นมาอ้างแต่จริงๆแล้วก็แค่อยากกิน ได้ไปนัดเจอเพื่อนๆทั้งจากสมัยมัธยม ไปจนถึงเพื่อนมหาลัย

ขอใช้พื้นที่นี้ขอบคุณทุกๆคนที่ยังไปหายไปไหน อยากจะขอใช้ quote เดิมอีกครั้งที่เคยเขียนไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน

I apologize if I haven't been the friend you deserve. But I want you to know, in my way, I love you all. -- Sheldon S12.E24 TBBT

ขอบคุณมากๆ

ปีนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ติดต่อคุยกับนักจิตวิทยา และเป็นสิ่งที่นี่อยากให้ทุกคนได้มีโอกาสไปคุย ไม่จำเป็นต้องรอให้ตัวเอง break down ก่อนที่จะมาปรึกษา ไม่อยากให้สังคมมองว่าการไปหาหมอจิตแปลว่าคนๆนั้นเป็นบ้า อยากให้การเข้าหานักจิตวิทยาเป็น norm ที่ทุกคนไปแล้วไม่ต้องอาย/กังวลที่จะพูดถึง

ในวันที่ไปปรึกษา (เป็น online session อะนะ เพราะตอนนั้นไม่ได้อยู่ไทย) เป็นการพูดคุย 1 ชั่วโมง เกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเอง ตอนแรกก็กังวลนะ เพราะคิดว่า ปัญหาของเรามันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆอะ คนอื่นไม่เห็นจะมีปัญหาแบบนี้เลย แต่เพื่อนคนนึงเคยพูดกับเราว่า “ไม่มีปัญหาอะไรเล็กๆหรอก ถ้าเรายังหาทางออกไม่ได้ หรือ เรายังอยู่กับมันไม่ได้ มันก็ยังคงเป็นปัญหา” ในระหว่างบทสนทนานั้นเหมือนเราได้ปลดล๊อคบางอย่างที่มันอยู่ในใจ ปัญหาบางอย่างเรารู้ทางออกของมันอยู่แล้วเพียงแต่เราไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา

ปล. ขอขอบคุณเพื่อนหลายๆคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเวลาที่เราอ่อนแอมากๆ เราจะพยายามส่งเก็บความอบอุ่นนี้ และจะไม่ลืมที่จะส่งต่อมันออกไป :D

#What I learn from 2022

  • บทเรียนสำคัญอันนึงที่เราเรียนรู้ในปีนี้ คือ เราโชคดีที่มีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนๆพี่ๆที่น่ารัก เราจะรักษาสิ่งนี้เอาไว้ จุดๆนึง เรากลัวที่จะทักทายใครๆ แต่เราเรียนรู้ว่า มันไม่ได้แย่เลย ปีนี้ได้กลับไปติดต่อเพื่อนเก่าๆหลายคน และได้กลับไปฟื้นคืนความสัมพันธ์กับเพื่อนๆหลายๆอันที่เราทำลายมันไปหลายปี

  • สิ่งที่เคยเกลียด ไม่ได้แปลว่า เราจะเกลียดมันตลอดไป ใครจะไปคิดว่าคนๆนึงที่ขยาดกับการกินนัตโตะจะกลับมาชอบนัตโตะได้

  • พึ่งรู้ว่า มันรู้สึกดีมากๆ แค่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ให้ใครสักคนฟัง

  • บางทีเราก็ลืมไปว่าเราไม่ได้เป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบกับทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น การที่เขาเลือกที่จะร่วมทางกับเราแล้ว เขาก็ต้องยอมรับได้ที่จะไม่ได้สมหวังตลอดเวลา และเราไม่จำเป็นต้องไปรับผิดชอบความรู้สึกของใคร

  • มีนักเขียนท่านนึงที่เราชอบมาก พูดเอาไว้(คร่าวๆ)ว่า “คนเราจะต้องกล้าที่ judge ตัวเองนะ บางทีเราเป็นแค่คนนิสัยไม่ดี เป็นแค่คนเหี้ยคนนึงไง ใครจะไปคบเมิง… แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องอ่อนโยนกับตัวเองด้วย บางทีแล้วคุณเป็นแค่มนุษย์ปกติคนนึง แต่คุณแค่มีสกิลการเข้าสังคมที่แตกต่างไป”

  • “I like being with you” but I learn that it is impossible and I am ok with that :D

ปีนี้ อยากขอขอบคุณตัวเองที่หลุดออกจากการติดหล่มอยู่กับอดีต ออกจากความสัมพันธ์หนักขวาอันนึงได้ (มั้ง?) แต่ที่แน่ๆคือเราพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าแล้ว

  • ¿Qué es para ti el amor

  • “ขอให้เขามีชีวิตถ่วงสมดุลให้กับความโหดร้ายของโลกใบนี้”

#Achievements in 2022

จะว่าไปแล้วธีมของปี 2022 คือ ปีแห่งการออกกำลังกาย แอบไม่ได้ตามเป้า ไม่มีซิคแพคใดๆ แต่รู้สึกสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย ไม่ค่อยมีอาการปวดหลังแล้ว(แต่ก็มีแหละ ถ้าต้องนั่งเขียนรายงานรัวๆ) รู้สึกตัวเองมีแรงขึ้น แต่ยังมีพุงเหมือนเดิม เฮ้อออออออออ

ตอนต้นปีกดเข้ากลุ่ม Fitjunction พยายามทำ IF กินคลีนขึ้น พยายามลดข้าว กินคินัวแทน ทำๆไปได้หลายได้เดือน นน. ลดไปราวๆ 8-9 kg แต่กลับไทย กินรัวๆ ทุกอย่างกลับขึ้นมาเท่าเดิม สูญสิ้นทุกอย่าง

แต่ยังดีที่ 4 เดือนสุดท้าย กลั้นใจจ้างเทรนเนอร์ เล่น Weight Training ครั้งแรก ต้องกราบน้องเจที่ขู่เข็นจนผ่านมาได้ กราบ กราบ กราบบ

#Lasty, what will be in the 2023??

2023 คิดไว้นานแล้วว่า อยากให้เป็น ปีแห่งการเงิน ตอนนี้ก็เริ่มอายุ 30 แล้ว พักหลังๆ เริ่มกังวลเรื่องเงินเก็บของตัวเอง รู้สึกว่าเป็นคนชอบแก้ปัญหาด้วยเงิน ไม่ได้รวยนะ แต่ ขก.จุกจิกกับการหาโปรโมชั่น หรือ การสะสมแต้ม

ต้องเริ่มที่จะเรียนรู้การวางแผนการเงิน การออมเงิน การลงทุน //จริงๆแค่เริ่มจากการทำบัญชีรายรับรายจ่ายยังยากเลย ฮือออออออออออ


ใดๆ ก็ขอให้ปีใหม่ 2023 เป็นปีที่ทุกคนมีความสุข สุขภาพดี ได้ใช้ชีวิตที่ตัวเองต้องการ ได้รักตัวเองและเป็นที่รักของคนรอบๆตัว

Life is a tragedy when seen in a close-up, but a comedy in long-shot. — Charlie Chaplin