TL;DR
จากกระทู้ Pantip : [CR]เมื่อภูเขากลายเป็นสีชมพูที่ “ ภูลมโล “ ทริปจึงบังเกิด ซึ่งความสวยงามไม่แพ้ซากุระเลย ความชมพูทั้วภูเขาสีดอกดอกพญาเสือโคร่ง ถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่น่าจดจำ
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่เราต้องการการเดินทางเพื่อทำให้เราเติบโตขึ้น มองสิ่งรอบๆตัว แล้วก็ยิ้มกว้างๆให้กับโลก บทความนี้เป็นบันทึกการเดินทางแรก หวังว่าจะมีบันทึกอีกหลายๆครั้งต่อไป #ตั้งปณิธาน หลังจากนี้จะต้องมีอย่างน้อย 1 ทริป ในทุกๆเดือน ไม่รู้เดือนต่อๆไปจะเป็นยังไง แต่หวังว่าจะได้เขียนไปเรื่อยๆในทุกๆเดือน :))
ทริปนี้ได้ inspire มาจาก [CR]เมื่อภูเขากลายเป็นสีชมพูที่ “ ภูลมโล “ เรียกได้ว่า ภาพดึงดูดตาฟุดๆ ต้องไปให้ได้ เลยรวบรวมเหยื่อร่วมทริปมาได้ 7 คน แฮปปี้มาก
พูดถึงดอกพญาเสือโคร่ง เป็นดอกไม้ดอกเล็กๆสีชมพู มี 5 กลีบ หลายคนมักเรียก “ซากุระเมืองไทย” เพราะมันสวยมากๆ ชมพูสะพร่าง ช่วงดอกบานจะสลัดใบแล้วออกดอกทีเดยวทั้งต้น โดยจะออกดอกในช่วงปลายมกราคม ยาวไปถึง ปลายกุมภาพันธ์ มีแหล่งให้ไปดูได้ตามภูต่างๆ แถวๆภาคเหนือ
แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทางอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าได้ทำการจัดสรรพื้นที่ให้ชาวบ้านมาทำกิน ปลูกกะหล่ำปลี และแบ่งพื้นที่บางส่วนมาปลูกต้นพญาเสือโคร่ง ซึ่งในส่วนต้นพญาเสือโคร่งนี้ ปลูกมาแล้ว 8 ปี แต่พึ่งเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว //เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่แฮะ
จริงๆ หลังจากวางแผนกันอยู่นาน ก็ตกลงวันได้ว่าจะไปในช่วง 20-22 กพ. #หยุดมาฆบูชา แอบกลัวนิดๆว่าดอกพญาเสือโคร่งจะร่วงไปหมดซะก่อน เพราะว่าได้ข่าวว่ามันจะบานเต็มที่ช่วง 13-15 กพ. #วาเลนไทน์น่าโง่ #โสดแล้วพาล แต่ตั้งใจจะไปแล้ว ก็ต้องไปให้ได้แหละนะ
จริงๆใครจะไป ลองโทรถามสภาพอากาศ สภาพดอกพญาเสือโคร่งได้ที่เบอร์อุทยานภูหินร่องกล้าได้เลย 081-5965977
การเดินทางนี้ เราตัดสินใจเช่ารถตู้ไป ถ้าไปรถทัวร์ จะเดินทางบนภูลำบากมาก แถมราคา(รวมค่าเช่ารถขึ้นภู)แล้วก็ไม่ได้ต่างกันมาก เช่ารถไปชิวกว่าเยอะ วันละ 2,000 บาท เดินทาง 3 วัน แบ่ง 8 คน เฉลี่ยนจ่ายกันคนละ 750 บาทเอง //เดี๋ยวสรุปค่าใช่จ่ายตอนท้าย
ในที่สุดก็ถึงวันที่เดินทาง #นัดแปดครึ่งออกสิบโมง เยี่ยมม :)) let’s goooo~
เพราะว่าออกเดินทางสายกว่าที่คิดเอาไว้ เลยต้องเปลี่ยนร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยง //วางแผนกันไว้ว่าจะไปกินไก่ย่างวิเชียรบุรีหนะ //อดแดร๊ก จริงๆอีกเหตุผล คือ เราเตรียมหมูย่างกันไว้สำหรับมื้อเย็น เลยกลัวว่าถ้ามื้อเที่ยงเป็นส้มตำไก่ย่างอีก จะเบื่อกันซะก่อน
สุดท้ายเลยมาลงเอยที่ ร้านต้อมแควป่าสัก ร้านอาหารริมแม่น้ำ บรรยากาศดี๊ดี กราบขอบคุณ google maps ที่นำทางไปร้านได้อย่างถูกต้อง
ราคาก็ไม่ได้แพงมาก ถือว่าโอเคเลยทีเดียว #แดร๊กแบบห่าลงในราคาคนละ170บาท #ภาพประกอบ ถ่ายก่อนอาหารมาครบทุกจาน เพราะหิว ถ้านานกว่านี้อาจจะหมดก่อนจะได้ถ่าย
หลักจากกินแล้ว ก็ออกเดินทางยาวๆไปถึงอุทยานภูหินร่องกล้า ประมาณ 2 ทุ่ม โชคดีมากๆ เกือบจะไม่ได้เต้นไปนอนซะแล้ว เพราะศูนย์บริการเต้นท์ของที่อุทยาน จะปิดประมาณ 2 ทุ่ม ถ้าใครมาถึงช้า อย่าลืมโทรไปบอกไว้ก่อนเลย เดี๋ยวจะไม่มีเต้นนอน
คืนที่ 1 ความหนาวมาเยือน 20 องศา
//ใครบอกว่าไม่หนาว พอลมพัดเท่านั้นแหละ ตัวสั่นเลยฮะ
ในคืนแรก วางแผนกันว่าจะนอนเต้นท์กัน เพื่อซึมซับบรรยากาศธรรมชาติอย่างเต็มที่ #ความจริงคือจองบ้านพักไม่ทัน ซึ่งที่อุทยานมีบริการให้ยืมเต้น ถุงนอน หมอน ผ้าห่ม คือไม่ต้องเตรียมอะไรมามาก #มาแต่ตัวทัวร์ยกแก๊ง //แนะนำว่าให้มายืม ไม่แพงแถมสภาพดีมากๆ
หลังจากจองเต้นท์กันแล้ว ก็มาถึงจุดสำคัญในคืนนี้ ปาร์ตี้หมูย่าง
ใครบอกว่า เป็นปาร์ตี้แบบชิวๆ บอกเลยว่า ไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะการจุดเตาถ่านนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ToT (ลืมบอกว่าที่อุทยานมีให้ยืมเตาถ่าน ตะแกรงย่าง ถ่าน เตรียมไว้พร้อมมาก) แต่มันก็ไม่ได้ยากเกิดฝีมือวิศวะอย่างเราๆ #หนึ่งชม.ผ่านไป
ในที่สุดก็ได้ย่างซักที happy meal
หมู 4 กิโล ก็ได้แปลสภาพเป็นหมูย่าง 3 กิโล ที่เหลือกลายเป็น #ช๊อคบอล #ถ่าน #ก้อนมะเร็ง มื้อนี้เรียกได้ว่า มื้อลดอายุไข20ปี
คำเตือน อย่าเตรียมอาหารไปเยอะมาก เดี๋ยวจะย่างไม่หมด เพราะที่อุทยานขอความร่วมมือ ให้ลดการใช้เสียง งอก่อกองไฟ ช่วงหลังจาก 4 ทุ่ม
วันที่ 2 ออกเดินทางไปดูดอกพญาเสือโคร่ง
ก่อนการเดินทาง จากการโทรตรวจสอบกับทางอุทยาน ได้ความว่า ช่วงที่จะไปดอกพญาเสือโคร่งที่ภูลมโลโรยหมดแล้ว #ร้องไห้หนักมาก แต่โชคดีมากๆ ที่ยังมีอีกแปลงอยู่ที่ภูขี้เถ้า กำลัง full bloom อยู่พอดี เลยต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ภูขี้เถ้าแทน
การเดินทางไปภูขี้เถ้า ต้องนัดรถกระบะขึ้นภู สามารถนัดกับเจ้าหน้าที่อุทยานได้เลย ราคาเหมาคันละ 1,000-1,200 บาท (ถึงอุทยานแล้วอย่าลืมนัดรถนะ เดี๋ยวจะไม่ได้ขึ้น)
หลังจากที่ต้องตื่นตอนตี 5 ขึ้นท้ายรถกระบะ กอดตัวเองแน่นๆเพราะอากาศหนาวมาก โยกไปมาถามถนนลูกรัง เดินทางประมาณ 8 km(มั้ง) ก็จะมาถึงภูขี้เถ้าพอดี ก่อนถึงภูขี้เถ้าเราจะแวะดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูลมโลก่อน แต่เพราะว่าวันที่ไปหมอกเยอะ ไม่เห็นพระอาทิตย์ เอาเป็นว่าข้ามไปเลยละกัน
ในที่สุดก็มาถึง
#ภาพประกอบ
คุ้มมาก เพราะดอกพระญาเสือโคร่งกำลังออกดอก บานทั่วไปทั้งเขา แทบจะกลายได้ว่าเป็นภูเขาสีขมพูเลยทีเดียว ฟินนนน~
พี่คนขับรถบอกว่า ต้องรอสายๆหน่อย แสงมันจะสะท้อนกับดอก ทำให้ชมพูสดใสมาก #ซื้อกล่องDSLRตอนนี้ทันไหม
(ยืมรูปมาจาก link)
ก่อนจะถึงที่พัก ก็แวะซื้อของแถวๆ โรงเรียนการเมืองการทหาร จริงๆ ถ้ามาก่อนหน้านี้ จะได้ถ่ายรูปกับลานใบเมเปิลสีแดง แต่ช่วงนี้ใบเมเปิลออกยอดอ่อนแล้ว เลยไม่สวยเท่าไร แต่ด้านหน้าจะมีขายสตอเบอร์รี่ แถวนี้ ถูก หวาน ชิมได้ เล่อค่ามาก
ในที่สุดก็ถึงที่เต้นท์ประมาณ 10 โมง ก็หาอาหารเข้าท้อง แนะนำว่า ไม่ต้องทำเองทุกมื้อ แถวอุทยานก็มีร้านข้าวให้กิน ถูกมาก แถมอร่อยด้วย จัดไป (จริงๆมื้อนี้ยังมีหมูที่ทำไว้เหลืออยู่ เลยต้องพะอืดพะอม กินหมูกันให้หมด ToT)
หลักจากกินอิ่มแล้ว ก็ต้องเก็บของ เปลี่ยนที่พักกัน เพราะคืนนี้ เราจะไปพักที่บ้านพักกัน มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้อาบด้วยแหละ
แต่บ้านพักจะเข้าพักได้หลังบ่ายโมง
หลักจากเดินเล่นแถวสำนักงานอุทยาน ก็โดนหลอกไปน้ำตกที่อยู่ใกล้ๆ (ช่วงที่ไปน้ำแห้งมาก) แต่ยังดีที่ฝั่งตรงข้ามมีลานดอกกระดาษให้ไปเดินเล่น แนะนำว่าใครไปที่อุทยานภูหินร่องกล้า ควรมาแวะ เดินทางเลยจากสำนักงานอุทยานไป 3 kg จะมีป้ายสีฟ้าๆ อยู่ด้านซ้ายมือ แล้วก็เลี้ยวขึ้นเนินไปเลย #ภาพประกอบ
นอกจากไร่ดอกกระดาษ ก็มีไร่กาแฟ แปลงสตอเบอรี่ ให้ไปเดินเล่น
โชคดีมากๆที่พี่ที่ไร่สตอเบอรรี่เก็บสตอเบอรี่มาให้ชิม ตอนแรกก็ไม่กล้ากินหรอกนะ ดูแปลกๆพิการๆ แต่อร่อยมา #ดูสตอเบอร์รี่ที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ
ในที่สุดก็กลับมาถึงบ้านพักเกือบบ่าย 2 บ้านที่เราได้พักกันชื่อว่า บ้านทิวเขา มาถึงก็ต้องอาบน้ำก่อน //เมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำหนะ //ก็มันหนาวหนิ ประทับใจมาก เพราะว่า ที่เครื่องทำน้ำอุ่นที่นี้ เป็นจุดด้วยเตาแก๊สจ้าา แถมมีไฟโชว์ด้วย ฟึบๆๆๆ
ถึงบ้านพักแล้ว ก็ขาดไม่ได้ที่จะเล่นสามก๊ก กับสล๊าฟกันยาวๆ รู้ตัวอีกที ก็หกโมงเย็นแล้ว ไปกินข้าว
อย่างที่บอกว่าที่อุทยานมีร้านอาหารให้กินหลายร้าน แต่แนะนำว่า ให้ไปกินร้านดวงใจ สั่งเมนู ยำเห็ดกรอบ ตบท้ายของหวานเป็นเครป เยี่ยมมมาก
หมดไปอีกหนึ่งวัน
วันที่ 3 วันสุดท้าย
หลักจากที่เหนื่อนกันมากหลายวันแล้ว วันนี้เลยออกเดินทางกันช้าหน่อย ออกเดินทางประมาณ 7 โมงเช้า ไปภูทับเบิก หมอกเยอะมาก อยากเอาหมอกแบบนี้มาที่กรุงเทพบ้างจัง
หลังจากถ่ายรูป กินมาม่า กันอย่างเต็มที่แล้ว ก็ต้องมาไร่กระหล่ำปลี จุดเด่นของที่นี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดชมวิว ก่อนเข้าเสียคนละ 20 บาทด้วยนะ ภายในสวยมีทั้งกระหล่ำปลี กับ สตอเบอร์รี่ ผสมๆกัน ที่ไร่นี้เขาให้เก็บสตอเบอรรรี่เองด้วย เด็ดกันสดๆ แล้วไปชั่งกิโล (กิโลละ 300 บาท)
แล้วก็ออกเดินทาง รู้ตัวอีกที ก็มาโพล่ที่ไรกำนัลจุลแล้ว เพราะพี่คนขับพามากินข้าวเที่ยง
แล้วก็เดินทางยาวๆถึง กทม. ประมาณ 4 โมงเย็น :))
สรุปค่าใช้จ่าย
- ค่ารถตู้ 6000 บาท
- ค่าน้ำมัน 2100 บาท
- ค่าที่พักที่อุทยาน 2640 บาท
- ค่าอาหาร 3800 บาท
- ค่าขนมและอุปกรณ์ 1000 บาท
- อื่นๆ จำไม่ได้ละ
เฉลี่ยจ่ายคนละ 2100 บาท
ท้ายที่สุด
ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนร่วมทริป ที่พากันไปจนจบทริปได้
ขอจบบันทึกการเดินทางด้วยเพลงประจำทริปนี้
#แก๊งสามซ่า #พีท่อสั่น #เทพกรหมุนหัว #ช๊อคบอล #กิ้นจักรพรรดิ #สลาฟปฏิวัติ #ใครมีรถบ้าง #ขึ้นรถไม่ทัน