TL;DR

ห่างหายจากบันทึกการเดินทางมานาน กลับมาครั้งนี้ หลังจากที่ /me ไปล่องแก่งน้ำว้า ที่จังหวัดน่านเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา [16-17/09/2017] มีคนตกน้ำชิมน้ำว้าไปหลายอึก เป็นอีกครั้งที่ทำให้ไฟแห่งการเขียนบล๊อคกลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้ง

อย่างที่เกริ่นไปแล้ว ทริปนี้เป็นทริปผจญภัยอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสมาเป็นการล่องแก่งสุดโหด จะว่าไปแล้ว ทริปนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากไปเดินป่าที่ดอยหลวงเชียงดาวช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ /me ได้รู้จักกับกลุ่ม Adventure tour ที่ชื่อว่า “คลุกฝุ่นทัวร์” นำทีมโดย ป๋านิ่ม //เอาจริงๆแล้ว ไม่เคยเจอป๋านิ่มเลย เจอกันแต่เฉพาะในสังคมออนไลน์

จะว่าไปแล้ว /me แอบรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของทริปสุดมันส์นี้มาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว เพราะเป็นที่ล่ำลือกันว่าเป็นเส้นทางล่องแก่นที่มันส์ที่สุดในประเทศไทย ตั้งความหวังไว้นานมาแล้วว่าจะต้องไปพิชิตให้ได้ ประกอบกับป๋านิ่มกำลังจัดทริปไปล่องแก่งที่นี้พอดิบพอดี /me ก็ตกลงปลงใจไปกับเขาอย่างรวดเร็ว แต่การเดินทางนี้ไม่ใช่การเดินทางของ /me คนเดียว ลากเพื่อนๆมาสมทบ 3 เลยรวมกลายเป็นทีมชายโฉด 4 คน โดยมี /me, ขวัญชัย, โต และหัวหน้าทีม “เทพกร” #แต่งตั้งมะกี้ ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ มีท่านอาร์ตด้วยแต่น่าเสียดายที่สุดท้ายไม่ว่างเลยไม่ได้ไป

ทริปนี้เริ่มออกเดินทางตอนช่วงเย็นวันศุกร์ นัดเจอกันที่ BigC สะพานความ และรถติดมหาศาลมาก โดยปกติแล้วทีมเดินป่าส่วนใหญ่จะมานัดเจอกันที่นี้ ดูๆแล้วมีหลายกลุ่มเลยที่กำลังจะไปล่องแก่งกับเรา :) //อีขวัญชัยมาสายเกือบไม่ได้ขึ้นรถแล้วเชียว //หลอกๆ และหลังจากคุยๆกัน /me พึ่งตระหนักได้ว่า ทริปนี้แพงสุดๆเลยแฮะ ราคา 6300 บาท สามารถเที่ยวเชียงใหม่ได้ 2 รอบเลย แต่หลงมาแล้วก็จัดให้เต็มที่ เมื่อทุกคนพร้อม ก็เริ่มออกเดินทางด้วยรถตู้ไปจังหวัดน่าน ในรถด้วยความ geek ของทุกคน รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นบทสนทนา big data/deep learning/bussiness intelligent ไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สลับกับการเล่นเกมส์ Calculator: The Game ที่เทพกรเอามาเผยแพร่

แต่การเดินทางไม่ราบลื่นเท่าไร เพราะว่ามีฝนตกหนักตลอดการเดินทาง รถก็เลยโคตรหนาว~ #แต่ไม่มีใครมากอด แถมดูเหมือนว่าจะมีต้นไม้ใหญ่ล้มระหว่างทาง ทำให้รถติดอยู่นานมาก ถึงน่านเลทไปเยอะมาก ทุกคนคุยกันว่าฝนตกขนาดนี้ มันจะสนุกเหรอวะ? แต่ แต่ แต่ …. กลับกลายเป็นทริปที่โคตรมันส์

หลักจากลงจากรถตู้ ทุกคนเลยต้องรีบกันไปเตรียมตัวลงล่องแก่งกัน โดยยังไม่ทันได้พักร่างกายกันเลย //แต่ได้กินข้าวนะ

ก่อนเริ่มล่องมีการนัดแนะสอนวิธีการจับไม้พาย วิธีการเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำ(แล้วจะไปฝึกแบบปฏิบัติการจริงในแม่น้ำ) ดูเหมือนว่าทุกคนจะตั้งใจฟังกัน พี่ผู้สอนบอกว่า เขาตั้งชื่อให้กับสายน้ำนี้ว่า “สายน้ำที่ไม่เคยเหมือนเดิม” แล้วเราจะได้รู้กันว่า มันต่างจากเดิมยังไง?

สภาพก่อนออกเดินทาง

ก่อนเริ่มลงล่องจริงๆ จับพลัดจับพลูกัน พวกเราก็ได้พี่ติมาร่วมทีมอีกหนึ่งคน พี่เขามาจากสุรินทร์เที่ยวคนเดียว กลายเป็นทีม 5 คนในเรือสีฟ้าอันโดนเด่น ลุยยยย~

ในช่วงแรก เริ่มต้นการล่องด้วยบรรยากาศแบบสงบๆ แอบทำให้นึกถึง ทริปทีลอซู ที่ผ่านมา แต่ก็นะ แอบไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนั้น สามารถเรียกว่าเป็นการล่องแก่งได้รึปล่าว เพราะจริงๆแล้วมันชิวสุดๆ หลับไปตลอดทาง

แต่ชิวอยู่ได้ไม่นาน อยู่ๆน้ำก็เริ่มไม่ได้นิ่งเหมือนปกติแล้ว ความระทึกกำลังมาเยือน พี่หัวเรือเริ่มพูดว่า “ไฮโด้ๆ” “หลบซ้ายๆ” “พายๆ ทุกคนช่วยกันพาย” ทุกอย่างมันดูเร็วมาก ตื่นเต้นไปหมด บางครั้งเราต้องพายเรือไปเจอกับคลื่นที่ซัดไปมาที่ใหญ่มากๆ เหมือนจะทำให้เรือล่มได้ตลอดเวลา บางทีก็ต้องหลบแต่ภาพข้างๆที่เห็นคือน้ำวนขนาดใหญ่ที่ถ้า /me ตกลงไป ก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงดี

ตอนฟังบรรยาย เขาจะบอกให้ทุกคนกำไม้พายให้เน้น แล้วทำการล๊อคเท้ากับเรือ ตอนนั้นไม่เข้าใจหรอกว่า มันคืออะไร แต่ระหว่างอยู่บนเรือ ทุกอย่างเป็นเหมือนสัญชาติญาณของการเอาชีวิตรอด ทุกคนสามารถเรียนรู้การล๊อคเท้าได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนั่งชมวิว แล้วลุ้นระทึกไปกับการล่องไปตามแก่งแล้วหน้าที่สำคัญของทุกคน คือ ช่วยกันพาย พี่หัวเรือบอกว่า แก่งที่เราเห็นพวกนี้ มันเกิดจากก้อนหินที่อยู่ในลำน้ำ ก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง บ้างก้อนทำให้เกิดโพรงใต้น้ำจนเกิดเป็นน้ำวนที่ ทุกคนเรียกมันว่า “ไฮโด้ๆ” ด้วยหลักฟิสิกส์ที่เราเรียนกันตั้งแต่ ม.ปลาย ถึงคลื่นมันจะแรง แต่ไม่ใช่ว่ามันจะพัดเราไปข้างหน้าเสมอ ส่วนใหญ่น้ำวนพวกนี้มันจะดูดเราไว้ เราจึงต้องช่วยกันพายเพื่อให้ผ่านแก่งพวกนี้ไปได้ #ล่องแก่งอย่างมีหลักการ

แต่พายกันอยู่ดีๆ ก็มีคนหายไปจากเรือ โตตกเรือจ้า~ น่าจะชิมน้ำว้าไปหลายอึกอยู่เหมือนกัน แต่พี่ๆก็ช่วยเหลือขึ้นเรือมาได้ เป็นฉากแรกที่ /me ตระหนักว่า เฮ้ยยยยย น่ากลัวเกินไปแล้ว ฮืออออ ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ สกิลการว่ายน้ำที่พึ่งผ่านขั้น beginner มาตอนสมัยปี 2 คงช่วยอะไรไม่ได้ ฮืออออ

หลักจากการสละชีพ เอ๊ยย การตกเรือครั้งแรก พี่หัวเรือ (ชื่อโต เหมือนกัน) บอกว่า เวลาตกเรือ อย่าตื่นตกใจ ปล่อยมือจากเรือ แล้วจับเสื้อชูชีพไว้ เพราะว่า ยิ่งเราจับเรือไว้เน้น น้ำมันจะกดให้เราไปอยู่ใต้เรือแล้วเราจะไม่ลอยขึ้นมา ช่วยเหลือไม่ได้ ตอนนั้นตั้งปฏิญาณว่า /me จะต้องไม่ตกเรือเด็ดขาด

น้ำใสๆก็มีให้กิน ไม่ต้องไปชิมน้ำว้าขุ่นๆที่อยู่ในแก่งนะ -- พี่โต ผู้ช่วยชีวิตระหว่างล่องแก่ง

ระหว่างล่องแก่ง จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนพาย เพราะว่า ปกติแล้วภายในเรือ 1 ลำ จะประกอบไปด้วย พี่หัวเรือ 2 คน พี่ท้ายเรืออีก 1 คน แล้วที่เหลือเป็นลูกทีมที่จะต้องแบ่งซ้ายขวาให้เท่ากัน แต่เพราะว่าเรือที่ /me มีสมาชิก 5 คนทำให้คนสุดท้ายต้องเสียสละทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุด โดยการเป็น “แม่ย่านาง” ถ่ายรูป ปล่อยให้ทุกคนพายแล้วค่อยให้กำลังใจ ซึ่งหน้าที่สำคัญเช่นนี้เลยตกเป็นของ /me โดยสดุดี

ด้วยฐานะในการเป็นแม่ย่านางที่ดี เลยมีได้คลิปนี้มา

//ตอนท้าย เรือล่ม 2 ลำจ้า แถมเทพกร ขวัญชัย และนายท้ายตกไปกับสายน้ำ ~

นอกจากความระทึกจากการเอาตัวรอดในแก่งแล้วสิ่งที่ /me ได้เห็น คือ ความสงบของธรรมชาติ แต่ในความสงบนั้นมีสมดุลที่ค่อยรักษาความเปลี่ยนแปลง ตลอดทางเราจะเห็นต้นไม้ใหญ่ น้ำตกสวยๆ สลับไปกับภาพดินถล่ม ต้นไม้ล้มเป็นระยะๆ

เห็นภาพพวกนี้แล้ว ยิ่งเห็นว่า มันเป็นสิ่งที่น่าหวงแหนมากๆ พลังของธรรมชาติมัน คือ ที่สุดของทุกอย่าง ความเกรี่ยวกราดของลำน้ำ ความชื้นพวกนี้ เติมเต็มให้คนในพื้นที่ได้มีกิน

หลังจากล่องมาได้สักระยะ ก็มาถึงจุดที่ทุกๆคนต้องสละเรือยางแล้วเดินลัดเลาะไปตามชายป่า ถ่ายรูปกับน้ำตก เพราะบางแก่งอันตรายเกินไป พี่ๆทีมงานบอกว่า แก่งพวกนี้บางแก่งเป็นหินสูง 3-4 เมตร บางแก่งเป็นน้ำวนต่อๆกัน ถ้าพลาดตกไป ก็หล่นไปน้ำวนหลายๆอัน อาจจะไม่รอด หืมมมมมม

พักทานข้าว

หลักจากพักแล้วก็ตะลุยกันต่อ

ความโชคดีอย่างนึงของทริปนี้ คือ เพราะสภาพอากาศ ปริมาณน้ำ จังหวะเวลาพอเหมาะ เราเลยได้ล่องน้ำว้าตอนบน (40k แรก) ซึ่งเป็นจุดที่มันส์ที่สุดในการล่องแก่งน้ำว้า ตลอดเส้นทางมีแก่งแบบไม่จบไม่สิ้น /me ถึงกับมือล๊อค เพราะจับพายแน่นมาก กลัวสุด กลัวตลอดทาง ยังไม่ทันหายตกใจจากแก่งก่อนหน้า ก็ต้องเห็นฟองขาวจากแก่งถัดไปแล้ว ในใจอยากให้มันถึงจุดหมายตลอดเวลา

แต่ท้ายที่สุด 40k กับระยะเวลา เกือบ 8 ชม. ในที่สุด /me ก็มาถึงที่พัก ทุกอย่างมีความดีต่อใจ ได้เวลาพักแล้ว เทพกรบ่นไม่หยุด เมื่อยมาก เพราะมันตกน้ำแล้วว่ายทวนกับกระแสน้ำอยู่นาน

สำหรับมื้อเย็นวันนี้เป็นปลาทอด ไข่เจียว ต้มยำไก่ น้ำพริกกะปิ และผัดกูดผัดน้ำมันหอย ดีต่อใจ เพราะชอบผักกูดมาก~

ได้ฟังแต่ละโต๊ะ คุยกันถึงประสบการณ์ตกน้ำของตัวเอง ฟังโต๊ะข้างๆทีมพี่ผู้หญิงเรือแดงพลิกกลางแก่ง เป็นหัวข้อการสนทนาที่สนุกมากๆ ประกอบกับความบ่นของนางเทพกร นางบอกว่าจะไม่ไปล่องตอนกลางแล้ว ToT ปล่อยนางบ่นต่อไป

ทุกคนเหนื่อยกันมาก กลับมาที่พักไม่นานก็หลับกันอย่างรวดเร็ว //หรือ /me หลับเร็วอยู่คนเดียวหว่า?

เช้าวันต่อมา

ทุกอย่างสดใส เทพกรไม่ยอมลุกจากเตียง ต้องหลอกล่อด้วยการพาไปกินข้าว ทุกคนเก็บกระเป๋า พร้อมลุยกันต่อ

ดูเหมือนว่าเทพกรจะเตรียมการเป็นแม่ย่านางไว้เป็นอย่างดี แต่แผนต้องพังไป เพราะว่าเรืออีกลำมีคนสละเรือ ทีมเราเลยต้องเสียพี่ติไป จนเหลือแค่ 4 คนกลายเป็นว่า ทุกคนต้องช่วยกันพาย

วันที่ 2 นี้น่าเสียดายที่ /me ไม่ได้หยิบกล้องมา เพราะพี่ทีมงานขู่ไว้เยอะ แถมรอบนี้ไม่มีแม่ย่านางค่อยถ่ายรูป ต้องจริงจังกับการพาย เป็นที่น่าเศร้ามากๆ //มีภาพวิวสวยๆเยอะมากกกก~ ฮืออออออออ

แต่วันนี้ /me ต้องล่อง 80k แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แต่ก็ต้องลุยกันต่อให้ถึงปลายทาง ฮึ๊บ!!

กลับกลายเป็นว่า น้ำว้าตอนกลางชิวกว่าที่คิดแฮะ ไม่รู้เหมือนกันว่าชินชาจากการความทรหดของวันแรก หรือ เป็นเพราะว่ามันชิวกว่าจริงๆ ความชิวของระหว่าการล่องน้ำว้าตอนกลาง คือ มันมีจุดชิว สลับกับแก่งเป็นระยะๆ ทำให้ /me มีจังหวะให้เราเตรียมตัวเตรียมใจ

แต่ถึงจะชิว ก็ไม่วายมีเรือพลิกอยู่ดี เป็นการดูเรือพลิกแบบชิดติดขอบสนามมาก เพราะว่า เขามาชนกับเรือที่ /me นั่งอยู่พอดี ก็เลยพลาดแล้วพลิกกลางแก่งเลยจ้า ยังดีที่ทุกคนในเรือของ /me ไม่หายไปกับสายน้ำ มีก็แต่น้ำที่นองเต็มเรือ

สำหรับวันนี้ จริงๆแล้วแต่ละแก่งก็มันส์สุดๆ ไม่ต่างกับวันแรกสักเท่าไร แต่ละแก่งต้องใช้ความชำนาญมากๆ ไม่รู้ว่าพี่ๆที่คุมเรือเขาจำได้ยังไง บางแก่งเริ่มเข้าทางซ้ายแล้วปาดไปขวาแล้วกลับมาจบที่ตรงกลาง ไฮโด้ๆๆ หืมมมมมม~ คิดไม่ออกว่า ถ้าไม่มีพี่ๆคุมเรือ /me จะมีชีวิตรอดมาเขียนบันทึกนี้ได้ยังไง OMG

การมีชีวิตมาถึงตอนนี้ ต้องกราบขอบคุณพี่ๆคุมเรือทั้ง 3 คน มากๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปหมู่ ToT

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมาคุมเรือแบบนี้ได้นะ พี่ๆเขาเล่าให้ฟังว่า เขาต้องไปอบรม มีฝรั่งมาสอนกันเป็นรุ่นๆ สุดยอดดดด~

อย่างที่เล่าไปว่าวันที่ 2 ไม่ได้โลดโพนเหมือนวันแรก แต่รู้ตัวอีกทีกลายเป็นทีมช่วยชีวิตไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ช่วยเรือล่มลำอื่นได้ตั้ง 2 ลำแหนะ //ภาคภูมิใจ

ในระหว่างที่ทีมเราเป็นทีมผู้ช่วยชีวิต อีกทีมที่อยู่ใกล้ๆกันผันตัวเองเป็นทีมเก็บผักกูดเลยจ้า เอิ่มมมมม ระหว่างล่องแก่งก็ยังมีอารมณ์เก็บผักมากิน

ตอนเที่ยง เป็นข้าวเหนียวไก่ทอด เนื้อ(วัว?)แดดเดียว กับน้ำพริกมะแขว๋น

ไปอ่านในพันธิป พึ่งรู้ว่าเมืองน่านนี้เป็นดินแดนถิ่มมะแขว๋นเลยนะฮ๊าฟฟ อร่อย yummy~

หลักจากนั้น ก็ลุยกันต่อ โคตรเสียดายที่ไม่ได้หยิบกล้องมา เพราะว่าตอนกลางมีบรรยากาศดีสุดๆ มีแก่งดังๆหลายแก่ง โดยเฉพาะแก่งแป๊ปซี่ ที่ได้ชื่อนี้มาเพราะว่า เป็นที่ที่ถ่ายโฆษณาแปปซี่ด้วยนะเออ

//เดาว่าน่าจะเป็นอันนี้ //เก่าไปอีก

ท้ายที่สุดการเดินทางก็มาถึงจุดสุดท้าย

จากนั้นทุกคนก็ลากตัวเองขึ้นรถไถ เขียนไม่ผิด รถไถจริงๆ เพราะว่าทางมันชัันมาก ต้องให้ลุ้นตลอดว่ามันจะไปรอดรึปล่าวนะ คิดในใจว่า //พี่คับถ้ามันไม่รอดให้พวกเราลงไปเดิมก็ได้นะคับ หลังจากลุ้นในแก่งแล้วต้องมาลุ้นกับรถไถขากลับด้วย จิตใจกำลังหมดแรงแล้วเนี๊ยะ

แต่จนแล้วจนรอด มันก็พาทุกคนขึ้นไปถึงถนนใหญ่ได้จริงๆวุ้ย ไม่น่าเชื่อมากๆ

ระหว่างเดินทางกลับ ไม่วายมีคนสังเกตเสื้อ Hackathon ที่ใส่ด้วย เลยได้คุยกันปรากฎว่า อ่าว อ่าว อ่าว มีคนทำงานสายคอมเหมือนๆกับเราเยอะเหมือนกันแฮะ แถมที่บ.เขากำลังประกาศรับคนอยู่พอดี เลยมีการ recruit กันตรงนั้นเลยทีเดียว เฮฮาๆ

กลับมาถึงรถตู้ โค้งสุดท้ายของการเดินทาง กลับมาดูสภาพตัวเอง แต่ละคนพบว่าแขน 2 สีกันหมดเลยจ้า ดูเหมือนว่ากำลังจะลอก มะเร็งผิวหนังกำลังกวักมือเรียกอยู่ไกลๆ

แต่ภารกิจสุดท้ายจริงๆ ก็คือ มื้อเย็น มื้อนี้เลยถือโอกาสเป็นมื้อพิเศษส่งท้าย ด้วยเมนูแนะนำจากขวัญชัย ผู้คร่ำวอดในวงการเมือเหนือแท้ๆ มานับสิบปี (ก็มันเป็นคนเชียงรายหนิ) เลยจัด ต้มยำปลาคัง, น้ำตก, ผัดกุยช่ายขาวหมูกรอก และจิ้นนึ่ง & น้ำพริกข่า

เป็นครั้งแรกที่รู้จัก จิ้นนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือเนื้อนึ่งนั้นแหละ หน้าตาแอบน่ากลัว แต่ก็อร่อยดี

ในที่สุด เวลา 2.57 A.M. พวกเราทั้งหมดก็ถึง กทม. อย่างสวัสดี :)