TL;DR

นี่ได้การตอบรับจากงานวิชาการ LREC2022 เลยต้องเดินทางไป Marseille, France เพื่อไปพรีเซ้นต์งานง่อยๆของตัวเอง แต่จับพลัดจับพลู จากแผนเดิมไปแค่ฝรั่งเศษ 6 วัน ได้เที่ยวเล่นที่เยอรมันแถมอีก 5 วัน


ห่างหายจากการเขียนบันทึกเดินทางไปนานนนนนนนนน บันทึกล่าสุด คือ 4 ปีก่อน 555555 ช่วงที่ผ่านมารู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีเวลาช้าๆให้กับตัวเอง แต่ตอนนี้ /me กลับมาแล้ว ฮึบ!!

ก่อนอื่นเลย อยากเล่าก่อนว่าการเดินทางรอบนี้เกิดจากอะไร

ต้นเหตุของการเดินทางมาจากที่ว่า นี่ได้การตอบรับจากงานวิชาการ LREC2022 เลยต้องเดินทางไป Marseille (อ่านว่า มาร์กเซ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอ่านแบบนี้ งงใจ), France เพื่อไปพรีเซ้นต์งานง่อยๆของตัวเอง แต่จับพลัดจับพลู จากแผนเดิมไปแค่ฝรั่งเศษ 6 วัน ได้เที่ยวเล่นที่เยอรมันแถม 5 วัน 😂😂😂😂

แต่ความจริงกว่า เป้าหมายที่แท้จริงทำไมถึงเลือกไปเยอรมัน คือ The Cat the musical ในฐานะทาสผู้ซื่อสัตย์ ต้องไปดูให้ได้ แล้วช่วงนั้นเขากำลัง world tour ที่มิวนิกพอดิบพอดี //นี่กดจองตั๋ว the musical ก่อนที่จะจ่ายตังค์เข้างาน LREC ซะอีก 555555

ก่อนการเดินทาง 1 เดือน

การเดินทางรอบนี้ยุ่งยากมาก อย่างที่รู้ๆกัน โควิดยังระบาดหนักมาตั้งแต่ 2019 ถึงแม้ว่าหลายๆประเทศในยุโรปจะเริ่มเปิดประเทศกันแล้ว แต่สำนักงานทุนที่ไทย(กพ.)ยังไม่อนุญาตให้นักเรียนทุนไปเดินทางไปเที่ยวเล่นนอกประเทศอยู่ดี การเดินทางออกนอกอังกฤษจะต้องได้รับอนุญาต เอกสารนานับประการถาโถม เอกสารขอวีซ่า เอกสารขอเบิกเงิน ทั้งจากทุน ทั้งจากมหาลัย เอกสารขออนุญาตนู้นนี้อีก เอาตรงๆ ท้อเบาๆ มีความคิดเล็กๆว่าเปลี่ยนเป็น vitual attendant ดีกว่ารึปล่าวนะ แต่พี่ๆป.เอกในแล๊ปพูดตรงกันว่า ไปเถอะ ประสบการณ์ที่ได้มันคุ้มมาก

//หลักจากที่กลับมา ขอขอบคุณตัวเองและทุกๆคนที่บอกให้ไป เป็นอะไรที่ดีมากๆ

พีคครั้งที่ 1

จะว่าไปแล้ว ช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยที่สุด คือ ช่วงไปทำวีซ่าหนิแหละ เพราะว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา Schengen VISA centre ของแทบทุกประเทศ ยุ่งกันมาก เหมือนทุกคนในลอนดอนพยายามมาขอวีซ่าจะไปเที่ยวในเวลาเดียวกัน(หลักจากอัดอั้นกันมานาน?)

ยุ่งจนไม่มีวันเวลาที่สามารถจองวีซ่าฝรั่งเศษได้เลย รุ่นพี่ที่แล๊ปเลยแนะนำให้ไปทำวีซ่าที่ประเทศอื่นดู เพราะถ้าได้วีซ่าเชงเก้น ได้จากประเทศไหนก็สามารถแวะต่อไปฝรั่งเศษได้เลย ค้นไปค้นมา จนมาลงเอยที่เยอรมัน ฉะนั้นเอง //ไม่ได้ตั้งใจหนีเที่ยวซะหน่อย 🤪🤪

แต่ถึงแม้ว่าจะจองวีซ่าเยอรมันได้ แต่วันที่ได้ก็ฉิวเฉียดมาก ถ้าพลาดวีซ่า แปลว่า ทุกอย่าง คือ ล่ม จบ!!! เหมือนบอสด่านแรกนี้จะยากกว่าที่คิด นี่พยายามเตรียมเอกสารอย่างดี ทวนเอกสารทุกอย่างประมาณ 10 รอบ ทุกอย่างครบ

แต่เวลาไปยื่นเอกสารจริงๆ เจ้าหน้าที่ที่ตรวจเอกสารบอกว่า อ่าววว เป้าหมายหลักของคุณคือไปฝรั่งเศษหนิ ไปยื่นฝรั่งเศษเถอะ แล้วนางก็พยายามยกเลิก OMG OMG OMG และด้วยความที่นางเป็นคนเยอรมันด้วย หน้านิ่ง+สำเนียงห้วนๆ ภาพในหัวขาวโพลนไปเลย ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ หลังจากอึ้งไปแปปนึง ดึงสติกลับมา พยายามข้อร้องไม่ให้นางยกเลิก ขอไปทำเอกสารใหม่ได้ไหม ยังดีที่นางให้แก้เอกสารได้ ฮึบ!! ตั้งสติแล้วเดินออกมาจาก VISA centre

จำได้ว่า ตอนนั้นตัวเองสติแตกไปแล้ว ไม่เคยนึกมาก่อนว่าตัวเองจะได้มีประสบการณ์ เดินหลงๆน้ำตาซึมที่ชานเมืองลอนดอน ต้องทำเอกสารใหม่เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นแผนการเดินทางใหม่ จองที่พักเพิ่มเติม จองประกันการเดินทาง เปลี่ยนเที่ยวบิน ตกแต่งเงินในบัญชี ถามตัวเองซ้ำๆว่า ยอมแพ้เลยดีไหม? พอแล้ว?

Thanks everyone on that day that reached out to me when I was so vulnerable.

สุดท้ายก็หาร้านคอมเล็กๆใกล้ๆ เตรียมเอกสารทั้งหมดภายใน 2 ชม. แล้วก็ยื่น!! แล้วก็รอผล อยากจะชมตัวเองในตอนนั้น เมิงเก่งมาก!!

//แอบนอยด์ รอบนี้ได้เชงเก้นมากแค่ 3 เดือนเอง น้อยสุดๆ แง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะเนอะ 😂😂

ก่อนการเดินทาง 1-2 วัน

สิ่งที่ยากที่สุดในการเดินทางคนเดียว คือ การเตรียมแผนการเที่ยว เพราะทุกอย่างต้องเขียนขึ้นมาเองด้วยตัวคนเดียว ถ้าพลาดก็โทษใครไม่ได้ไง เมิงเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ ต้องวางแผนว่า พักที่ไหน? ไปเที่ยวที่ไหนบ้าง? เดินทางยังไง? SO OVERWHELMED!! ใช้เวลาหลายวันในการนั่งอ่านรีวิวในพันธิป (ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้จะไม่ค่อยคึกคักเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังมีคนรีวิวเที่ยวอยู่เรื่อยๆแฮะ) รู้สึกว่าตัวเองตั้งใจวางแผนเที่ยวมากกว่าทำวิจัยเอง ฉันจะเรียนจบจริงๆปะ???

ก่อนการเดินทาง 1 วัน อยู่ๆก็ได้เมลล์มาว่า ที่มหาลัยมีอบรมในหัวข้อ “Maximising the Impact of Conferences and Networking” พอดิบพอดี เหมือนนางจงใจส่งมา

ใจความสำคัญของสิ่งที่เขาสอน คือ Networking การวิจัยคือการเดินบนถนนเปลี่ยวๆมืดๆที่มีหลอดไฟระหว่างทาง ถ้าหลอดไฟหลายดวงช่วยกันส่องแสง การเดินทางครั้งนี้ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่มันควรจะเป็น(?)

อายุจะ 30 แล้ว ต้องมาเรียนว่า จะทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆยังไง 55555555 เอาเข้าจริงๆ ยากมาก ยิ่งตัวเองอายุมากขึ้น ยิ่งมี comfort zone ยิ่งไม่กล้าที่จะรู้จักเพื่อนใหม่ๆ, รู้สึกอิ่มตัวกับสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่อยากเปลี่ยนแปลง,ทำไมต้องทำให้ตัวเองต้องไปเจอกับ awkward moment ในการทักทายคนแปลกหน้า, ความ insecure ในการใช้ภาษาของตัวเอง เขาจะเข้าใจสิ่งที่เราพูดไหม? และยิ่งต้องทำทุกอย่างคนเดียวด้วย การเข้าหาคนแปลกหน้าหนึ่งคนเลยเป็นเรื่องที่ยากมาก รู้สึกต้องเตรียมใจ

วันที่ 1

ในที่สุด ในที่สุด ในที่สุด ถึงเวลาเดินทาง ไฟลท์ขาไปเยอรมันรอบ 6:20 am เช้ามากกกกก ตอนที่จองก็กดๆไปไม่ได้คิดมาก พึ่งมาตระหนักได้ว่า เดินทางตอนตี 4 ไปสนามบินยังไงวะ??? ลืมมมมมมมมมมมมมมม~ มันไม่มีรถไฟไง รถไฟเริ่มวิ่งตอนตี 5 มีแค่รถบัสรอบกลางคืน ละอิสนามบินก็ไกล๊ไกล

มาถึงจุดนี้แล้ว พลาดอะไรก็ได้แต่ห้ามตกเครื่องบิน! ไปรอเครื่องบินตั้งแต่เที่ยงคืนเลยจร้า ไปรถไฟเที่ยวสุดท้ายของวัน ลุยๆ Let’s go

ถึงสนามบินแล้ว คนนอนตามพื้น ตามเก้าอี้ เต็มไปหมด มีเพื่อนร่วมชะตากรรมเยอะกว่าที่คิดแฮะ นี่ก็ไปนั่งๆนอนๆ จะหลักสนิทก็ไม่ได้กลัวหลับยาว จะตื่นก็ง่วง เส้าใจ 😓 ยังดีที่ได้หลับนิดนึงบนตอนอยู่บนเครื่องบิน ชาร์ตพลังงาน เตรียมพร้อมสำหรับแผนการเที่ยว

Arrived at Munich, Germany

9 โมงเช้านิดๆ เครื่องก็ลงจอดที่เยอรมันละจร้า เดินเพลียๆแบบคนอดนอนออกจากสนามบิน

ความดีงามอย่างนึงของประเทศในแถบ EU คือ ซิมโทรศัพท์ของ UK กับ EU มันเชื่อมต่อกันแบบ seemlessly มาก อะเมซิงสุดๆ คิดค่าโทรตามราคาเดิม แต่ต้องระวังเวลาเข้าประเทศที่ไม่ใช่ EU นะ เที่ยวเพลินๆแล้วหมดค่าโทรศัพท์แบบไม่รู้ตัว (ตอนวันหลังๆแวะประเทศโมนาโค แล้วพึ่งรู้ว่านางไม่ได้อยู่ใน EU หมดค่า 4G ไปเยอะเลย)

อีกเรื่องที่โชคดีมากๆ คือ ช่วงที่ไปมิวนิก เป็นช่วงที่รัฐบาลเยอรมันอุ้มค่าเดินทางให้กับประชาชนพอดี เขาออกตั๋วเดินทางแบบเหมาจ่ายรายเดือน ราคา 9 EUR คือ เดินทางไปที่ไหนก็ได้ (ที่ไม่ใช้เดินทางไกลๆ) การเดินทางรอบนี้เลยชิวมาก เดินทางรัวๆแบบเหมาๆ

กลับมาที่สถาณการณ์ปัจจุบัน ปัญหาสำคัญ ณ ขณะนั้น คือ จะออกจากสนามบินได้ยังไง?? กูเกิลแมพบอกว่า ให้ไปที่ S2 ละคำถาม คือ S2 มันคืออะไรก่อน 55555555 เดินแบบงมๆ จนได้พี่เจ้าหน้าที่ชี้เป้าให้ดู จุดใต้ตำตอมากๆ หลังจากเรียนรู้วิธีการใช้รถสาธารณะของมิวนิคคร่าวๆจากพี่เจ้าหน้าที่แล้ว ก็เริ่มออกเดินทางต่อ

ทิ้งกระเป๋าที่โฮสเทล แล้วไปเริ่มต้นเที่ยวเบาๆที่แรก Schleißheim palace complex มันคือ วังของ Duke Wilhelm V of Bavaria ละมันไม่ใช่แค่วังเดียวไง มันคือ complex ที่รวม 3 วัง อยู่ในที่เดียวกัน (New Palace, Old Palace, Lustheim Palace) บวกกับ สวนสไตล์บาโรกขนาดใหญ่ตรงกลาง

ตามที่วางแผนไว้ เที่ยวที่แรกเบาๆไง ระยะทางจาก Old Palace ไป Lustheim Palace ที่อยู่หลังสุด คือ 2km เบาๆๆ เดินไปซับเหงื่อ(+น้ำตา)ไป ไกล ชห ขุ่นแม่ถามว่า ไปดูอะไร? เออนั้นซิ ฉันมาทำไม? ถ้าคนไม่อินกับประวัติศาสตร์ หรือ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ มันก็แค่คึกเก่าๆกับสวนใหญ่ๆแค่นั้นแหละ ไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดนั้น

กลับมาในเมือง แวะให้รางวัลตัวเองด้วยขาหมูเยอรมัน กับ เบียร์ต้นฉบับๆจากเยอรมัน

เบียร์แก้วใหญ่มาก อร่อยขาดใจ แต่ขาหมูเยอรมันเค็ม กรอบจิง แต่เค็มสุด เค็มแบบพ่อครัวน่าจะเผลอๆใส่เกลือไปหมดขวด //หลังจากอยู่มิวนิกหลายวัน นี่เรียนรู้ว่า คนเยอรมันกินเค็มแบบนี้เป็นปกติ ขนมปังแม่งก็เค็ม ไส้กรอกก็เค็ม เค็มทุกอย่าง อยากกลับไปเทียบอัตราการเป็นโรคไต 5555555

นอกจากความเค็มแล้ว ความเศร้าของร้านอาหารที่เยอรมัน คือ พนักงานไม่บริการเลยจร้า แทบจะต้องไปก้มกราบเพื่อขอสั่งอาหารที่ร้าน มุแง ทำตัวไม่เป็นเลย เคยบ่นเรื่องนี้กับชาวเยอรมันแท้ๆ เขาบอกว่า ตอนไปเอเชีย เขาก็ตกใจเหมือนกัน เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยได้บริการดีๆมาก่อน 55555555 เป็น culture shock เบาๆ

วันที่ 2

เป็นอีกหนึ่งวันที่เตรียมตัวหนักมาก เป้าหมายของการเดินทางวันนี้ คือ ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle) ซึ่งว่ากันว่าเป็นปราสาทต้นแบบในเรื่องเจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) ของ Disney

จริงๆก็ไม่ได้อินกับเจ้าหญิงนิทรานะ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ขอแวะไปเดินดูหน่อย แต่ไปยากนิดนึง เพราะต้องเดินทางด้วยรถไฟจาก Munich ไปเมือง Füssen แล้วค่อยต่อรถบัสไปอีก แล้วต้องเดินจากลานจอดรถขึ้นเขาไปอีก 30 นาที รวมๆแล้วเดินทาง ~3++ ชม. เพื่อไปที่ปราสาท (ไม่นับว่าต้องจองตั๋วเข้า ซึ่งเวปอืดมาก จองยากไปอีก) ตั้งใจมาละไง

ละวันที่ไป ฝนตกจร้าาา แล้วเลือกตกตอนที่ นี่กำลังเดินอยู่กลางป่า //เดินเร็วๆฝ่าฝน พร้อมมีเพลง ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้~ แต่ที่แย่กว่า คือ หลังจากนี่ไปถึงศาลาแล้ว ฝนหยุด!!! แล้วไม่ตกอีกเลยทั้งวัน โกดดดดดดดดดดดดด 🤯 เหมือนโดนกลั่นแกล้ง เปียกมอมแมมกันไป

แต่ที่น่าเสียดายที่สุด คือ ช่วงที่ไป สะพาน Marienbrücke ปิดซ่อมพอดี (ปกติจะปิดตอนช่วงฤดูหนาว แล้วทำไมปีนี้มาปิดตอนนี้ ตอบ!!) จริงๆแล้วสะพานมันไม่มีอะไรพิเศษหรอก แต่มันเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในการถ่ายรูปปราสาท สามารถถ่ายรูป Neuschwanstein Castle ได้แบบเต็มๆ 360 องศา //เสียใจที่ไม่ได้ไป

วิวที่ได้จะประมาณนี้ //ว๊าวมากกกกก

This image is not mine. Credit: Christopher Larson / TripSavvy

นอกจาก Neuschwanstein Castle แล้วแถวๆนั้น ยังมีอีกหนึ่งปราสาท ชื่อว่า Hohenschwangau Castle เป็นปราสาทสร้างโดย King Maximilian II ซึ่งเป็นพ่อของ King Ludwig II ซึ่งต่อมาเป็นคนที่สั่งให้สร้าง Neuschwanstein Castle อีกที //อ่านเจอว่า มีคนให้ฉายา King Ludwig II ว่า The Mad King ชื่อเท่ห์ๆ แต่ไม่แน่ใจว่าควรภูมิใจไหม 🤣🤣🤣

เดินวนไปวนมาทั้งวัน แวะไปปราสาทนู้นที ปราสาทนี้ที ยอมรับว่า ตอนที่เข้าไป Hohenschwangau Castle ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร ด้านในหรูหราแหละ แต่ไม่ว้าวขนาดนั้น แต่ Neuschwanstein Castle คือ ว้าววววววว มาก ปราสาทใหญ่ ตระการตา สุดมากกกก อยากลองมานอนที่นี้สักคืน

พีคครั้งที่ 2

ความตื่นเต้นก็ต้องมีไม่หยุดหย่อน ถามจีง เหม่อมองฟ้าแล้วอยากจะตะโกนถามว่า ให้เที่ยวชิวๆบ้างไม่ได้เหรอ? ความพีคของรอบนี้ คือ มือถือเจ้ากรรม โดนฝน โดนหนาว แล้วงอแง แบตก็เสื่อมอีก ผ่านไปครึ่งวัน แบตเหลือ 30% มันมีลางหายะที่จะเกิดขึ้น เพราะว่า แผนการเดินทางทุกอย่างอยู่ในมือถือไง มือถือเปิดไม่ได้ คือ ขึ้นรถไฟไม่ได้ แต่ที่สำคัญกว่า คือ ต้องขึ้นคันไหน?

จนแล้วจนรอด ขึ้นรถไฟกลับ Munich ตอนแบต 1% ช่างเป็น 1% ที่ยาวนาน พนักงานตรวจตั๋วจะมาทันพอดี ลุ้นจนเยี่ยวเหนียว ถึง Munich แล้วก็ร่อนแร่ จนพึ่งมาค้นพบว่า KFC ที่เยอรมัน มีไก่กรอบจร้าาาาาา ดีใจน้ำตาไหล //คนอื่นคงไม่เข้าใจหัวอกคนที่อยู่อังกฤษ ดินแดนที่ KFC ไม่มีไก่กรอบ (มีแต่วิงค์แซ่บอะที่ทอดกรอบ) แต่ความสุขมันก็ไม่ได้อยู่อย่างถาวร เพราะ คุณต้องจ่ายตังค์ซื้อซอส (ซองละ 50p) ที่ KFC เยอรมัน OMG ซองเล็กๆอันนึงราคาซองละ ~20 บาท ยอมใจ กินไก่ไม่จิ้มซอสก็ได้วะ

คืนนี้กลับโฮสเทลล์ ฝันหวานได้กินไก่ KFC

วันที่ 3

เช้าที่สดใส เป้าหมายของวันนี้ คือ Herrenchiemsee Castle ซึ่งเป็นปราสาทสุดหรูอีกหลังของ King Ludwig II รอบนี้เป็นปราสาทบนเกาะกลางทะเลสาบ เป้าหมาย คือ ต้องการสร้างเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายที่ฝรั่งเศษ

รอบนี้ออกเดินทางไปเมือง Chiemsee ประมาณ 2 ชม. จาก Munich เป็นเมืองเล็กๆติดทะเลสาบ คงเพราะว่าเป็นเมืองติดทะเลสาบ ภายในเมืองบรรยากาศดีมาก น่ารัก สุนทรีย์ ฟ้าใส ละมุนใจสุดๆ อยากกลับไปอีกหลายๆรอบ

สีฟ้าจากท้องฟ้ากับสีครามจากพื้นน้ำ เป็นสองสีที่ดูกี่ทีๆก็ไม่เบื่อ

วันนี้เป็นวันที่ดีอีก 1 วัน ในที่สุดก็ได้วันพักผ่อนที่แท้จริง~

จริงๆ อยากจะเล่า เรื่องเล็กๆในโฮสเทล ด้วยว่าเป็นแค่คนจนๆคนนึงอะนะ จะนอนโรงแรมหรูๆก็ไม่มีปัญญาจ่าย ที่พึ่งหนึ่งเดียว คือ โฮสเทลราคาถูกๆ เป็นแบบแชร์ห้องนอน 6 เตียง (แต่โชคดี ช่วงที่ไปพักมีกันแค่ 2 คน) และคนที่พักด้วยคนนึงเป็นคนเยอรมัน ได้มีโอกาสคุยกัน แฟนของนางติดโควิด เชื้อลงปอด อยู่ ICU มาเป็นเดือนๆ พึ่งอาการดีขึ้น กำลังจะออกจาก รพ. ฟังแล้วก็หวั่นใจ โชคชะตามันน่ากลัวมาก แต่นางๆสู้กันมากแล้วก็ผ่านมันมาได้ ฮึบๆๆ

วันที่ 4

เป็น Highlight ของทริปนี้เลย เพราะ เป็นวันที่จะได้ไปดู Cat the musical เย้ เย้ เย้ เย้ เย้ ลุ้นๆอยู่ว่าจะแสดงเป็นภาษาอะไร ลุ้นให้เป็นภาษาอังกฤษ

ตั๋วการแสดงที่จองไว้ คือ รอบบ่าย 2:30 นี่เลยมีเวลาตลอดทั้งเช้า เดินวนๆอยู่ในเมืองมิวนิค ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีสติอยู่กับการเดินดูสักเท่าไร เพราะตอนนี้ใจอยู่ที่ละครเวทีแล้ว แต่ก็แวะๆเวียนๆวนๆไปชม Munich Residenz ซึ่งเป็นที่พักของขุนนางสักอย่าง วนไปดู Asamkirche โบสถ์สวยๆสไตส์บาโรค

และในที่สุดมา Deutsches Theater München ซึ่งเป็นโรงละครสำหรับการแสดงของวันนี้ //จริงๆแล้วเกือบจะไม่ได้เข้าไปดูแหละ เพราะเจ้าหน้าที่แสกนบัตรที่นี่ซื้อไปไม่ได้ ได้แต่ทำตาปิ๊งๆ จนเขาอนุโลมให้

บรรยากาศภายในโรงละคร ตื่นเต้นมาก พอถึงเวลา นักแสดงแมวๆทั้งหลายก็เดินมาจากรอบๆเวที ดีต่อใจสุดๆ ความดีงาม คือ บทร้องเป็นภาษาอังกฤษ พอฟังคลอๆไป

ตัวบทร้องทั้งหมดแต่งโดย Andrew Lloyd Webber ซึ่งอิงมาจากบทกวีหลายๆบทจากหนังสือ Old Possum’s Book of Practical Cats ของ T. S. Eliot

เนื้อเรื่องหลัก เล่าถึงเหล่า Jellicle cats ซึ่งจะมารวมตัวกัน บนฉากหลักของเมืองลอนลอน แล้วสลับกันเล่าเรื่องราวของชีวิตตัวเอง เพื่อให้ The Old Deuteronomy ซึ่งเป็นแมวจ่าฝูง ตัดสินใจเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้เดินทางไปเกิดใหม่ยัง Heaviside layer

Jellicle cats come out tonight
Jellicle cats come one come all
The Jellicle Moon is shining bright
Jellicles come to the Jellicle Ball

ความดีงามของเรื่องนี้ นอกจากน้องแมวต่างๆแล้ว ตัวเนื้อเรื่องพยายามทำให้เป็นเรื่องที่ย่อยง่ายๆ สำหรับเด็กๆ แต่สามารถตีความได้ลึกซึ่ง (Please keep in mind that I’m biased)

SPOIL

ธีมนึงที่เรื่องกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลาในบทร้องของ Grizabella คือ ความแปลกแยกทางสังคม (social alienation) เพราะนางเป็นแมวที่เคยมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ แต่ด้วยความผิดพลาดบางอย่างทำให้นางโดนขับไล่ออกจากกลุ่ม กลายเป็นคนอื่นไป แต่ในตอนท้ายของละคร นางก็ได้รับโอกาสและการยอมรับอีกครั้ง (received, remembered, and re-accepted) แต่ที่สำคัญไม่แพ้การยอมรับจากคนอื่น คือ การยอมรับจากตัวเอง ให้อภัยตัวเอง ให้ตัวเองกลับมามีคุณค่าอีกครั้ง เป็นกำลังใจให้ทุกๆคน ดิ้นรนกันต่อไป

Memory
All alone in the moonlight
I can smile at the old days
I was beautiful then
I remember
The time I knew what happiness was
Let the memory
Live again

อีกด้านนึง Cat the musical แสดงให้เห็นว่า การใช้ชีวิตมีได้หลากหลาย แมวแต่ละตัวให้ความหมายของตัวเองในมุมที่แตกต่างกัน บางตัวให้คุณค่ากับการกิน บางตัวให้คุณค่ากับการผจญภัย และทุกๆรูปแบบก็สามารถสร้างความสุขได้ไม่ต่างกัน

เป็นอีกหนึ่งแฮปปี้เดย์

พีคครั้งที่ 3

แต่ไม่ทันไร ก็ต้องมาผจญภัยอีกละ ไม่ให้พักกันหน่อยเลยเหรอ? ด้วยความโง่ของตัวเอง ดู checkout date ผิดจ้า จองขาดไป 1 วัน กลายเป็นว่า คืนนี้ไม่มีที่นอน โฮสเทลเดิมก็ไม่มีเตียงว่างอีก ข้าวของก็ยังไม่ได้เก็บลงกระเป๋า แต่ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยเงิน กดหาโฮสเทลที่ถูกที่สุดในเวลานั้น แล้วเสียค่าโง่ไป 50 EUR จองห้องเพิ่ม 1 คืน (จากปกติ คืนละ 15 EUR) แล้วก็อัปเปหิตัวเองไปยังโฮสเทลที่ใหม่

ยังดีที่ว่า คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายใน Munich แล้ว พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไป Marseille กันละฮะ

วันที่ 5

วันนี้ทั้งวัน ลงแผนไว้แค่ว่า จะขึ้นรถไฟเดินทางไป Marseille เริ่มต้นวันด้วยการเดินเล่นๆรอบสุดท้ายในเมือง Munich

เดินๆไปเจอสวนสาธารณะของเมือง แต่ที่เจ๋งคือ เขากำลังเล่น surf กันกลางกรุง #ชีวิตดีดีที่เมืองกรุงมิวนิค

เดินเล่นๆไปได้สักพักก็ถึงเวลาเดินทางแล้ว

พีคครั้งที่ 4, 5, 6, 7, ….

การเดินทางรอบนี้เป็นการเดินทางที่เหนื่อยมาก ถามตัวเองย้ำๆว่า ทริปนี้ต้องเหนื่อยขนาดนี้ไหม ถามใจตัวเองทำไมไม่จองเครื่องบิน ตอบ!!!

เริ่มจากที่ว่า นี่เบื่อการเดินทางด้วยเครื่องบินแล้ว ถ้าจะนั่งเครื่องบินจาก Munich ไป Marseille มันต้องบินไปต่อหลายที่กว่าจะถึง เลยมีความตั้งใจจะนั่งรถไฟระหว่างประเทศแทน นั่งเพลินๆ ดูบรรยากาศรอบๆไป ชิวไปอีก

แผน คือ นี่จะเดินทางจาก Munich ไป Mannheim แล้วนั่งรถต่อยาวๆไป Marseille St Charles station เรียบง่าย สบายๆ

แต่ความเป็นจริงมันช่างโหดร้าย

ไปๆมาๆ อิรถไฟไปสายที่ขึ้นอยู่ มันไม่ไปสถานีปลายทางที่นี่ต้องไปเปลี่ยนสาย 😕😕 เริ่มหวั่นๆใจ จะไปรอดปะวะ??

ชีวิตก็ยังสู้กลับอย่างต่อเนื่อง นอกจากมันไม่จอดสถานีตามที่วางแผนไว้แล้ว รถไฟสายที่นั่งอยู่อยู่ๆมันก็ดับกลางทางจร้า ดับเล๊ย แอร์ก็ดับ อห แล้วไงต่อ ประกาศทั้งหมดเป็นภาษาเยอรมันจร้า นั่งหน้าแห้ง 🙁🙁 ไปต่อไม่เป็นละไง

ยังดีมีคนเยอรมันด้านตรงข้ามช่วยแปลให้ สรุปเป็น technical issue ดีเลย์ไป ครึ่งชม++

ความพีคก็มาอย่างต่อเนื่อง เพราะดีเลย์ที่เกิดขึ้น สรุปนี่ตกรถไฟไปมาร์กเซย์จร้า เลทไป 4 นาที!!! หมดแรง นักบุญชาวคนเยอรมันคนดีคนเดิมเลย ช่วยชี้ทางไปที่ ticket office ไปเจรจาจนได้ตั๋วใหม่มา

แต่สภาพของรถไฟรอบใหม่ คือ นี่ต้องอยู่ในสภาพปลากระป๋อง ไม่มีเก้าอี้นั่งไป 3 ชม จนถึง ปารีส.. 😣😣 OMG

แต่ถึงปารีสแล้วไงต่อ ต้องไปเปลี่ยนที่สถานีอีกอันที่ห่างออกไปประมาณ 1 ชม. ถามจีงงงงงง ทำไมต้องมาผจญภัยอะไรแบบนี้?

ยังดีที่เจอเหยื่อชะตากรรมตกรถไฟเหมือนกัน 2 คน เลยเจรจาแชร์แท๊กซี่กัน พาตัวเองถึงสถาณีรถไปอันสุดท้าย มาทันตอนนาทีสุดท้าย ดีใจมากๆ

แต่ แต่ แต่ มองซ้ายขวาๆ ท่าทีคนแปลกๆ เหมือนทุกคนไม่ได้รีบร้อนกันเลยแฮะ… ในที่สุดไอ้ตัวโชคชะตาต้องออกไพ่ลับออกมา

จากการคุยกับคนบนรถไฟ ได้ความว่า ก่อนหน้านี้มาคนพยายามฆ่าตัวตายจร้า ไม่ทราบรายละเอียด แต่ที่แน่ๆ รถไฟเลื่อนไปไม่มีกำหนด… หมดคำพูดใดๆ อ้างว้างเหลือเกิน~ 😫😫 ดีเลย์ไปอีก 3+ ชม.

Arrived at Marseille, France

ในที่สุดก็ได้เห็นป้ายสถานี Marseille ตอนตี 2 เดินไปโรงแรม ได้นอนจริงๆตอนตี 3 ซึ่งต้องตื่นมาร่วมงานประชุมวิชาการตอน 7 โมงเช้า (งานเริ่ม 8 แต่ต้องเดินไป 30 นาที)

วันที่ 6-9

เป็น 4 วันที่จริงจังกับการร่วมงานประชุมวิชาการ LREC2022 มันคือเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้(?) จริงจังไม่จริงโจ้

นี่มีพรีเซ้นตอนเช้าวันที่ 7 ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี

อยากเล่าว่า โรงแรมดีต่อใจมากมาย เตียงนุ่มแบบพอดีๆ อยากขอเอากลับมานอนที่อังกฤษ แถมมีเตาไฟฟ้าเล็กๆสามารถทำอาหารกินเองได้ ดีต่อใจสุดๆ

และดูอาหารเช้าของที่นี้

ขนมปังอร่อยมาก ด้านนอกกรอบ ด้านในนุ่มแต่สู้ฟัน กินกับ Prosciutto แล้วก็ไข่คน ดีต่อใจ ยิ่งพูดถึงครัวซองค์ อร่อยน้ำตาไหล แง แต่เอาจริงๆ กินขนมปังต่อกัน 10 วัน ร่างกายเริ่มประท้วงอยากกินข้าวสวยร้อนๆ

//Fun fact: คนที่เยอรมันบอกว่า ปกติที่เยอรมันไม่นิยมมาทำอาหารกินเองช่วงเดินทาง ดังนั้นพวกโฮสเทลจะไม่มีครัว แต่ที่อังกฤษกับฝรั่งเศษที่ไปๆมา ปกติจะมี shared kitchen ให้มาทำอาหารกินเองได้

นอกจากเรื่องอาหาร ด้วยว่าที่ Marseille เป็นเมืองท่าติดกับทะเล Mediterranean (เมดิเตอร์เรเนียน) ดังนั้นตัวเมืองจะเต็มไปด้วยเรือขนาดต่างๆ ทั้งเรือสำหรับหาปลา //ตอนเช้าๆจะมีชาวประมงมาขายปลาสดๆที่ท่าเรือด้วย มีเรือใบ เรือยอร์ช เรือลำใหญ่ๆแบบเรือเดินสมุทธก็มี

ด้วยความที่มันติดทะเล รอบๆเมืองก็จะมีโซนที่เป็นชายหาดให้คนไปเล่นน้ำ ถึงแม้ว่าไม่ใช่ทรายนุ่มๆแบบทะเลภูเก็ต(อวดบ้านเกิดตัวเองบ้าง) แต่ทะเลน้ำใสมาก #ชีวิตดีดีที่เมืองมาร์กเซย์

วันที่ 10

จริงๆวันนี้ ไม่ใช่วันสุดท้ายของงานวิชาการ แต่นี่ขออนุญาตหนีเที่ยว 1 วัน ให้รางวัลในโอกาสวันเกิดของตัวเอง หนีไปเที่ยวประเทศโมนาโค ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ เล็กกว่าสิงคโปร์อีก แต่เป็นประเทศของคนรวย รวยแบบหลับหูหลับตารวย รวย ชห รวย เห้เห้ แค่ไปสูดอากาศในเมืองก็รู้สึกแล้วว่ารวย เพราะว่า ทั้งเมืองมีแต่ช๊อปแบรนด์เนม อย่า ปราดา, กุชชี่, เฮอเมส etc. รถที่ขับไปขับมาในเมืองก็จะเป็นพวกรถหรู แบบที่นี่ไม่กล้าไปเฉียดเพราะกลัวนางเป็นรอย

แต่ Highlight ของวันนี้ คือ Monte Carlo Casino เป้าหมายไม่ใช่การไปเล่นพนันนะ แต่นี่แค่อยากไปสักการะแด่ Monte Carlo method ที่ยิ่งใหญ่ 5555555555555555

สำหรับใครที่ไม่รู้จัก Monte Carlo method มันคือการใช้พลังคอมพิวเตอร์สุ่มซ้ำๆเพื่อหาค่าบางอย่างที่ต้องการ (numerical results) เพราะว่าในปัญหาบางประเภท มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสรุปหาค่าที่ต้องการออกมาเป็นสมการ อาจจะเพราะมีตัวแปรเยอะบ้าง หรือ มีเงื่อนไขเยอะบ้าง นู้นนี้นั้น //เอาจริงๆตัวเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญ ถ้ามีผิดไปก็บอกได้เลยฮะ

แต่มาถึงคาซิโนทั้งทีก็ต้องลองเล่นสักหน่อย

หลักจากเสียกับ Slot Machine ไปแล้ว นี่เลยหันมานั่งโต๊ะ Roulette ดูบ้าง ลงไปได้รอบเดียว เลิก!! ใจไม่ถึง เพราะ minimum bet ของที่นี้ คือ 20 GBP ยอมใจ บะบาย เราคงไปต่อร่วมกันไม่ได้

วันที่ 11

ทุกการเดินทางก็ต้องมีวันสุดท้าย เดินทางตั้งแต่เช้าออกจากโรงแรม แต่แจ๊คพอตซะก่อน โดนเหมือนตอนอยู่มิวนิคเลย จองขาดไป 1 วัน เลยต้องจ่ายชดเชยไป 100+ EUR แล้วก็แจ้นไปสนามบิน ตั้งใจจะไปเที่ยวเล่นๆรอบสนามบินสักหน่อย เพราะมีเวลาเหลืออีกหลาย ชม. แต่ภาพที่วาดไว้ก็พังทะลายลง เพราะ มันไม่มีอะไรให้เที่ยวเลยจร้า ติดแหงกอยู่ที่สนามบินตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงสองทุ่ม

พีคครั้งสุดท้าย (?)

จะกลับอังกฤษแล้ว ยังไม่วายมีปัญหาเกิดขึ้นอีก รอบนี้ คือ เครื่องบินดีเลย์เพราะว่ามีประท้วงของพนักงานการบิน เครื่องออกไม่ได้ ติดแหงกอยู่บนเครื่องบิน 2.45 ชม. ยาวๆไป แต่เหมือนเขาคุมเวลาดีมาก เพราะระหว่างที่ติดแหงกอยู่ นี่ก็ค้นๆไปพร้อมๆกันว่า จะเรียกค่าเสียหายได้รึปล่าว ปรากฏว่า จะทำได้ก็ต่อเมื่อดีเลย์เกิน 3 ชม. แหม ทำเวลากันดีซะเหลือเกิน

และแล้วกลับถึงลอนดอนโดยสวัสดี ราวๆเที่ยงคืน แต่ถึงห้องราวๆตี 2 ต้องตื่นมาประชุมตอนตี 4

เริ่มต้นวันเช้าวันใหม่ที่สดใส บะบายมิวนิค บะบายมาร์กแซย์

แล้วหลังจากนั้นอีก 2-3 วัน ได้ข้อตวามมาว่า คนจากงาน LREC2022 ติดโควิดกันรัวๆ //แต่นี่ก็ยังรอด #จบการเดินทาง

What I learned from this journey

  • เต็กตัวเมิงเองเก่งกว่าที่คิดนะเว้ย อย่าสบประมาทตัวเองซ้ำๆซิวะ เมิงทำได้!! เมิงผ่านอะไรมาตั้งเยอะ ฮึบๆนะ
  • เอาจริงๆ คนไทยเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าคนในพื้นทวีปยุโรปในหลายๆประเทศ ถึงเราจะสำเนียงไม่ได้ 100% แต่สามารถสื่อสารได้ก็คือโอเคแล้ว มั่นใจตัวเองให้เยอะๆ
  • ข้าววววววว ร่างกายขาดข้าวไปหลายวัน ต้องการข้าวในกระแสเลือดด่วนๆ
  • ทริปนี้เป็น Solo trip ครั้งที่ 2 ของตัวเอง ชอบบรรยากาศที่ได้บังเอิญคุยกับคนแปลกหน้าแล้วเรียนรู้อะไรบางอย่าง นานๆเดินทางแบบนี้บ้างเหมือนได้ใช้เวลาสำรวจตัวเอง ไม่อยากบอกว่ามันง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากจนเป็นไปไม่ได้
  • การเดินทาง ถึงแม้ว่าจะวางแผนมาดีแค่ไหน มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่ต้อง improvised เสมอๆ ต้องตั้งสติเอาไว้ ถ้าแก้ไขคนเดียวไม่ไหวก็หาคนอื่นมาช่วย อย่าลืมว่า ยังมีอีกหลายคนอยู่รอบๆตัวเรา
  • ความขรุขระที่เจอตลอดการเดินทาง ถึงแม้ว่าตอนนั้นมันจะแย่แต่การที่ผ่านมันมาได้ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราเก่งขึ้นไปอีก 1 ขั้น ทบทวนใจตัวเองบ่อยๆ ให้กำลังใจตัวเองบ้าง
  • ตั้งใจจะเขียนภาคต่อ เป็นบันทึกเรื่องราวภายในงานประชุมวิชาการ เดี๋ยวจะมาแปะลิงค์ไว้ ตรงนี้ ….