TL;DR

Arrival เป็นหนังไซไฟเรื่องหนึ่งที่ /me ตั้งตารอมาตั้งแต่ต้นปี ที่น่าตื่นเต้น คือ การหยิบภาษาศาสตร์มาใช้ในหนังได้อย่างน่าสนใจ กับภาพ CG และ Soundtrack ฮามๆ


Arrival เป็นหนังไซไฟเรื่องหนึ่งที่ /me ตั้งตารอมาตั้งแต่ต้นปี โดยทั่วไปแล้ว /me พบว่าพักหลังๆ หนังไซไฟมักมาในรูปแบบ superhero อย่างตระกูลหนัง DC/Marvel หรือ ไม่ก็ romantic sci-fi อย่าง Passenger, Up side down, In time แต่หนังเรื่องนี้กลับมาในธีม sci-fi drama มีทฤษฎีต่างๆมาแบบจัดเต็ม ดูเป็นหนังนอกกระแสพอสมควร แต่ไม่ทำให้ /me ผิดหวังเลย สามารถเทียบกับ sci-fi รุ่นพี่ อย่าง Interstellar หรือ Contact ได้สบายๆ

สำหรับหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องสั้นชื่อ “Story of Your Life” โดย Ted Chiang แต่กำกับ โดย Denis Villeneuve ซึ่งมีผลงานเป็นหนังดราม่า “เข้าใจยาก” มาแล้วหลายๆเรื่อง #ฉันดูแล้วยังไม่เข้าใจเลยพี่บัวลอย แต่เรื่องนี้ ท่านผู้กำกับ Denis Villeneuve ทำได้ลงตัวมากมาย ทั้งเทคนิคการถ่ายทอดเรื่องราว การออกแบบฉาก/ตัวละคร และองค์ประกอบต่างๆ โดยเฉพาะเสียงประกอบฉากที่มีทั้งความ mystery และ fascinated มาก ทำให้ /me อินสุดๆในหลายๆฉาก

เนื้อหาต่อไปนี้ อาจจะมีบางส่วนเป็น SPOIL

โดยเนื้อเรื่องทั้งหมด เป็นเรื่องราวของการมาของยานอวกาศต่างดาว 12 ลำที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมา โดยไม่มีใครรู้จุดประสงค์ และมี Louise Banks ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษา และ Ian Donnelly อาจารย์ด้านฟิสิกต์ เป็นแกนนำในการพยายามเพื่อหาจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ ดังนั้นแกนหลักสำคัญของหนังเรื่องนี้ คือ ความพยายามในการทำความเข้าใจ “จุดประสงค์” ของมนุษย์ต่างดาว ที่ในหนังเรียกว่า “Heptapod”

ถือเป็นความแปลกใหม่ของวงการหนังไซไฟมาก เพราะเป็นเรื่องที่หยิบเอาภาษาศาสตร์มาเป็นแกน จากเดิมที่มักจะเป็นเรื่องราวของฟิสิกต์ เคมี ชีวะ และไม่น่าเชื่อว่า ภาษามีผลกระทบกับความคิดเราได้มากขนาดนี้

โดยสิ่งที่ Arrival หยิบมาใช้เป็นหัวใจสำคัญ ของเรื่องคือ Sapir-Whorf hypothesis ซึ่งกล่าวไว้ 2 ข้อ

  • Linguistic determinism : ภาษาเป็นตัวกำหนดความคิดและเป็นกรอบมุมมองโลกของทุกๆคนในสังคม
  • Linguistic relativity : คนสองคนที่ใช้ภาษาต่างกันจะคิดและมองโลกต่างกันเนื่องจากมีคำและไวยากรณ์ที่ต่างกัน

หรือพูดในอีกแง่หนึ่งว่า “ภาษา” เป็นเครื่องมือที่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของคนในสังคมได้ ดูแล้วเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก และ ยังมีนวนิยายหลายเรื่องที่พูดในแง่มุมคล้ายๆกันนี้ อย่าง 1984 ของ George Orwell

สุดท้ายแล้ว จุดประสงค์ของ Heptapod ก็โดยเปิดเผยในท้ายๆเรื่องว่า เป็นการมาเพื่อเสนอความรู้ทางภาษาของตนเองให้กับมนุษย์ โดยภาษาของ Heptapod เป็นภาษาที่มีลักษณะเป็น nonlinear language ซึ่งทุกๆคำที่ต้องการสื่อ จะต้องเขียนออกมาในรูปของวงกลม คล้ายๆรอบเปื้อนกาแฟใต้ก้นแก้ว //กรรม

และเอกลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่าง คือ การที่ภาษาของ Heptapod ไม่มีคำที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา ซึ่งหมายความว่า พวกเขาอยู่เป็นอิสระกับเวลา ซึ่งหมายความว่าในมุมมองของ Heptapod เวลาไม่ได้เป็นเส้นตรงที่มีจุดเริ่มและจุดจบอย่างที่เราเข้าใจ

จาก Sapir-Whorf hypothesis จึงให้ข้อสนับสนุนว่า การศึกษาภาษาของ Heptapod สามารถทำให้เราเป็นอิสระในมุมมองของเวลา และมีมุมมองต่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเราพบว่าเวลาไม่ได้เป็นเส้นตรง ดังนั้นคำว่า “อนาคต” “ปัจจุบัน” และ “อดีต” จึงไม่มีความหมายอีกต่อไป เราจะสามารถรับรู้ได้ว่า ทุกๆช่วงของเวลาของสิ่งเดียวกัน และสามารถรับรู้ และอยู่ในทุกๆช่วงเวลาพร้อมกันได้

//ไม่ต้องใช้ Einstein-Rosen bridge ในการย้อนเวลาอีกต่อไป

นอกจากเนื้อเรื่องที่เข้มข้นไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ ปรัญชา และฟิสิกต์ของเวลาแล้ว หนังยังท้าทายด้วยการนำเสนอเรื่องราวในรูปแบบสลับไปมาๆระหว่างแต่ละช่วงเวลา เพื่อย้ำให้เห็นว่า ความเป็นอิสระของเวลา

ถึงแม้ว่า Sapir-Whorf hypothesis จะดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อ และเหมือนหลอกลวง หลายคนคงคิดว่า จะเป็นไปได้ยังไงที่ภาษาจะมาเปลี่ยนแปลงอะไรๆได้ แต่ก็มีหลักฐานทางภาษาในหลายๆเรื่องที่สนันสนุนสมมติฐานอันนี้

จากการศึกษา Guugu Yimithirr language ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของกลุ่มคนในออสเตเรีย เราพบว่า ภาษากลุ่มนี้เป็นภาษาที่ไม่มี Left-Right หรือ Relative Direction หมายความว่า ทุกๆการอ้างถึงทิศทางของคนกลุ่มนี้ เขาจะใช้ทิศทางเหนือ-ใต้-ออก-ตก เสมอ และเมื่อศึกษาลึกๆ เราพบว่า คนกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าใจ Relative Direction เลยแต่สามารถหาทิศต่างๆได้อย่างแม่นยำ [When Guugu Yimithirr speakers were asked how they knew where north is, they couldn’t explain it any more than you can explain how you know where “behind” is] ref

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาชนเผ่า Himba ในประเทศ Namibia ซึ่งภาษาของเผ่านี้แตกต่างจากภาษาทั่วๆไป คือ เขาไม่มีคำที่ใช้อธิบายสีฟ้า [no word for blue or distinction between blue and green] ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างสีฟ้าและสีเขียวได้มาก แต่กลับสามารถแยกความแตกต่างระหว่างกลุ่มสีเขียวได้อย่างแม่นยำ เพราะภาษาของชนเผ่า Himba มีคำที่อธิบายความแตกต่างของสีเขียวมาถึง 11 เฉดสี ref

สิ่งที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้ คือ ผลกระทบที่ภาษามีต่อการมองโลกของกลุ่มคนในภาษานั้นๆ และนอกจากนี้ ภาษายังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายๆเรื่อง เช่น ภาษาสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาความเชื่อ และความเป็นอยู่ของคนในสังคมได้อีกด้วย เช่น ในกลุ่มภาษาในเอเชียมักพบสรรพนามมากมายโดนเฉพาะภาษาไทย สรรพนามแต่ละคำใช้สำหรับกลุ่มคนในแต่ละฐานะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง การให้ความสำคัญในเรื่องความอาวุโสของในสังคมไทย

หรือ ในภาษาอังกฤษที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ Tense หรือ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์เป็นจุดสำคัญ

ในตอนท้ายของเรื่อง Heptapod ยังย้ำอีกครั้งในประเด็นเรื่องพลังของภาษา ด้วยคำพูดที่ว่า เขามาเพื่อ “เสนออาวุธ” แก่มนุษย์

The limits of my language means the limits of my world. ― Ludwig Wittgenstein

นอกจากเรื่องทฤษฏีทางภาษาศาสตร์แล้ว Arrival ยังมีองค์ประกอบอีกหลายส่วนที่น่าสนใจ ช่วยเรียบเรียงความคิด และค่อยๆบีบมันออกมา เติมความชัดเจนโดยการป้อนคำถามให้เราตลอดเวลา

ความเป็นวิทยาศาสตร์ของหนังอีกจุดที่น่าสนใจ คือ วิธีการแก้ปัญหาของ Louise ที่ได้รับโจทย์ ในการหาคำตอบ ‘สิ่งนั้นมาเพื่ออะไร’ และ ‘สิ่งนั้นเป็นภัยคุกคามต่อโลกหรือไม่’ แทนที่เราจะรีบเร่งแก้ปัญหาตรงๆ

สิ่งที่ Louise ทำคือ ย่อยองค์ประกอบของคำถาม ทำความเข้าใจรูปแบบของคำถามและคำตอบ แล้วค่อยๆตั้งสมมติฐานในส่วนย่อยๆจนกลายเป็นความเข้าใจในองค์รวม โดยเริ่มจากการสร้างแนวทางในการสื่อสารให้ได้ก่อน โดยเริ่มจาก word ง่ายๆ อย่าง ฉัน/เธอ แล้วค่อยๆหารูปแบบ ซึ่งหนัง sci-fi หลายๆเรื่องมักข้ามในส่วนตรงนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

นอกจากนี้แล้ว หนังยังมีการนำเสนอภาพในหลายๆจุด อย่างละเอียด ถึงกับมีที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาษามาเป็นคนช่วยออกแบบฉาก //งานดีย์

ประเด็นที่อีกเรื่องที่หนังนำเสนอ คือ ประเด็นทางปรัชญาในเรื่อง Free will หรือ เจตจำนงเสรี มาจากการตั้งคำถามที่ว่า “เรามีชีวิตที่เลือกได้อย่างอิสระจริงๆรึปล่าว? หรือเป็นเพียงบทละครหรือแค่สมการเคมีที่มีผลลัพย์แน่นอนตายตัว?” ในประเด็นนี้เกิดขึ้นหลังจาก Louise เริ่มรับรู้นิมิต และเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นภาพอนาคต ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆแล้วเราจะเปลี่ยนอนาคตได้รึปล่าว?

ถึงแม้ว่า หนังจะไม่ได้เสนอคำตอบสำหรับชัดๆสำหรับคำถามเหล่านี้ แต่แนวคิดหนึ่งที่ Louise บอกเรา คือ แทนที่จะมัวแต่กังวลเรื่องอนาคตและพยายามเปลี่ยนแปลงมัน หันมายอมรับความเป็นไปในปัจจุบัน อยู่กับทุกๆวินาทีนี้ให้ดีที่สุด เส้นทางนี้อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วก็ได้ เราทุกคนอาจจะมีเจตจำนงเสรีในการเลือกเดินตามทางเลือกต่างๆ และการเลือกที่จะเปลี่ยน หรือ ไม่เปลี่ยนอนาคตก็เป็นทางเลือกหนึ่งเหมือนกัน

อวยมาเยอะแล้ว จริงๆ Arrival ก็ไม่ได้เป็นหนังที่ดีที่สุด และไม่ได้เหมาะสมกับทุกๆคน อย่างหนึ่งที่ขัดใจ /me นิดๆคือ ฉากเจรจากับนายพลจีน เรียกได้ทำเป็นจุดที่ทำให้หนังขาดเสน่ห์ที่อุตส่าห์สะสมมาตลอดตั้งแต่ต้นเรื่อง แอบง่ายเกินไปหน่อย ทั้งนี้ด้วยความที่หนังมีความซับซ้อน บวกกับการดำเนินเรื่องแบบเรียบๆในช่วงแรก อาจจะทำให้หลายๆคนหลับไปเลยทีเดียว //ที่นั่งข้างๆ /me หลับไปจริงๆ ToT

และอีกอย่างที่ไม่ชอบ คือ บทของ Ian ซึ่งแสดงโดย Jeremy Renner ซึ่ง /me ติดภาพของ Hawkeye มากมาย พอเห็น Ian ทีก็หมดความอิน ดูไม่ค่อยน่าพิศมัยเท่าไร

และจุดสุดท้าย คือ นกในกรง ทุกครั้งที่มีการคุยกันระหว่าง Louise กับ Abbott/Costello (ชื่อของ Heptapod) จะมีนกในกรงอยู่ตัวนึง ซึ่งแย่งซีนได้อีก แถมยังไม่อธิบายว่าทำไมถึงต้องมีไอ้นกตัวนี้ซะด้วย /me มารู้ภายหลังจาก เอาไว้ใช้ตรวจสอบความเป็นไปได้ที่อากาศในนั้นจะเป็นพิษต่อมนุษย์ แต่เอิ่มมมมมม แย่งซีนจริงๆนะ

โดยรวม 9.5/10 ประทับใจมากมาย //จะออกจะโรงแล้วนะ ถ้าไม่รีบดูก็โหลดบิตเอานะทุกคน //ผิด

ปล. แถมภาพพี่เส้า ver. Arrival